สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ( ดีอาร์ซี ) เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เยือนดีอาร์ซี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางประเทศที่ 4 และเป็นประเทศสุดท้ายของภารกิจเดินสายเยือนแอฟริกา ที่เริ่มจากกาบอง ตามด้วย แองโกลา และสาธารณรัฐคองโก หรือ คองโก-บราซาวีล


ทั้งนี้ มาครง ซึ่งเยือนแอฟริกาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 18 แล้ว นับตั้งแต่รับตำแหน่งผู้นำฝรั่งเศส เมื่อปี 2560 เน้นย้ำว่า แม้ฝรั่งเศสคือหนึ่งในประเทศที่เคยเข้ามา “ช่วงชิงการสร้างอิทธิพล” ในแอฟริกา แต่ตอนนี้ “ไม่มีแบบนั้นอีกต่อไป” เนื่องจากรัฐบาลปารีสมีนโยบายให้เกียรติและปฏิบัติต่อทุกประเทศ “ด้วยความเท่าเทียม” ฝรั่งเศสมุ่งหวังการเป็น “หุ้นส่วนระยะยาว” กับแอฟริกา ซึ่งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนก้าวขึ้นสู่การเป็น “สนามแข่งขันทางการลงทุน” และทุกภาคส่วนของฝรั่งเศสประสงค์เป็นส่วนหนึ่ง “ไม่มากก็น้อย”

ประชาชนในดีอาร์ซี ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลปารีส ระหว่างการเยือนของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง หน้าสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ในกรุงกินชาซา


ขณะที่ ประธานาธิบดีเฟลิกซ์ ทชิเซเคดี ผู้นำดีอาร์ซี เรียกร้องฝรั่งเศส “รับฟังมากกว่านี้” เกี่ยวกับข้อเสนอและความต้องการของแอฟริกา หากต้องการเป็น “หุ้นส่วนที่เป็นธรรมในระยะยาว”


อย่างไรก็ตาม บรรยากาศเกือบกลับมาตึงเครียด เมื่อมาครงกล่าวถึงสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกและทางใต้ของดีอาร์ซี ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 “เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลดีอาร์ซี” แม้มีการขออภัยในเวลาต่อมา “ว่าพูดเร็วเกินไป” แต่มีการวิเคราะห์ว่า อาจกระตุ้นให้กระแสต่อต้านฝรั่งเศสยิ่งทวีความรุนแรง ท่ามกลางการแผ่ขยายอิทธิพลหลายด้าน จากจีน และรัสเซีย


อนึ่ง มาครง กล่าวระหว่างการเยือนกาบอง ว่า ยุคสมัยของการที่ฝรั่งเศส “แทรกแซง” กิจการภายในของแอฟริกา “ยุติแล้วโดยสิ้นเชิง” พร้อมทั้งยืนยันว่า การดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลปารีสที่มีต่อแอฟริกา “จะไม่หวนกลับไปเป็นแบบเดิมอีก” ที่เป็นการสนับสนุนการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของฝรั่งเศสในประเทศแห่งนั้น.

เครดิตภาพ : REUTERS