เมื่อวันที่ 16 มี.ค.66 ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค อดีต รมว.คลัง และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีมุมมองต่อกรณีแบงก์ล้มละลายในสหรัฐอเมริกา-สวิตเซอร์แลนด์ ว่า 1.กรณี​​ธนาคาร 2 แห่งในสหรัฐ ถูกสั่งปิดการดำเนินงาน คือ Silicon Valley Bank (SVB) และ​ Signature Bank และยังมีแบงก์เล็กๆ​ ที่ถูกถอนเงินช่วงสัปดาห์​ที่แล้ว และวันนี้ก็มีธนาคารเครดิตสวิส ใหญ่อันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งหมดมีปัญหาขาดความเชื่อมั่น (Credit confident) จึงถูกแห่ถอนเงิน (Bank run) และราคาหุ้นตกมาก ทั้งนี้สาเหตุหลัก​เกิดจากการที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ขึ้นดอกเบี้ยแรง ๆ ​เร็ว​ ๆ ทำให้ภาคธนาคารและภาคธุรกิจปรับตัวไม่ทัน​ และการบริหารผิดพลาดไม่ระมัดระวังของตัวแบงก์เอง

2.Silicon Valley Bank มีเงินฝาก 175,400 ล้านดอลลาร์​ และ​ Signature Bank มีเงินฝาก 89,000 ล้านดอลลาร์​ รวม 264,400 ล้านดอลลาร์ ​ในขณะที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐ ณ สิ้นปี 2022 มีเงิน 128,218 ล้านดอลลาร์​ และคุ้มครองเพียง​ 250,000 ดอลลาร์ฯ แรกต่อบัญชี​ ไม่เต็มวงเงิน​ จึงจะทำให้เกิดการถูกแห่ถอนเงิน แล้วแบงก์ต่าง ๆ อาจล้มเป็นระบบได้​

3.รัฐบาลสหรัฐ มีกฎหมายให้​กระทรวงการคลัง ธนาคาร​กลาง​ และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก​ออกมาตรการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนทุกบัญชีได้​ เพื่อให้ประชาชน​หยุดแย่งกันถอนเงิน​ไม่ให้แบงค์​ล้มเป็นโดมิโน ให้แบงก์​ต่างๆ ดำเนินการ​ไปได้ รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ ก็ออกมาประกาศจะอุ้มธนาคารเครดิตสวิส จะไม่ปล่อยให้ล้ม

4.เราจะเห็นได้ว่า​ หากมีภาวะความเสี่ยง ที่สถาบันการเงินอาจล้มเป็นระบบ​ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก​ (ตอนนี้ประเทศไทยคุ้มครองไม่เกิน ​1 ล้านบาทต่อบัญชี)​ ก็ช่วยไม่ได้​ รัฐฯ​ต้องพิมพ์เงิน​มาคืนเงินฝากประชาชน​อยู่​ดี​แล้วไปลดส่วนของทุนแบงก์ที่มีปัญหา​ ลดส่วนเจ้าหนี้ที่ไม่ใช่ผู้ฝากเงิน​และนำทรัพย์สิน​มาขายชำระหนี้​ ส่วนที่ยังขาดทุนก็ให้กองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงินฯ​รับภาระไป​ ไปเก็บเงินจากระบบแบงก์มาคืนในอนาคต​

5.ตอนมีปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐ ล้มละลายในปี​ 2008 ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งให้สถาบันคุ้มครองเงิน​ฝาก​ไทย คุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนทุกบัญชี​ เพื่อป้องกันไว้ก่อน ไม่ให้เกิดการถูกแห่ถอนเงิน ประเทศไทยจึงไม่เกิดปัญหา Bank run ในปี 51-52

6.แบงก์ SVB ​ให้กู้และรับฝาก​เงินจาก​ Hedge funds, Venture cap, Tech startup จึงมีผู้ฝากเงินรายใหญ่เกินกว่า​ 250,000 ดอลลาร์ฯจำนวนมาก​ โดยในช่วงโควิด-19​ ได้​นำเงินฝากไปลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และพันธบัตรเอกชนที่มั่นคงไว้​ ได้ดอกเบี้ย​ 1.7-1.8%

7.แต่เนื่องจากธนาคารกลางของสหรัฐ (Federal Reserve Bank) รีบขึ้นดอกเบี้ยสูงๆ และเร็วมาก​ ใน 1 ปีที่ผ่านมา จาก​ 0.50-75% เป็น​ 4.50-4.75% จึงทำให้ราคาพันธบัตรฯ ​ลดลงมาก​ เมื่อมีคนมาถอนเงินฝาก​ 2-3 พันล้านดอลลาร์ฯ​ แบงก์ SVB ก็ต้องขายพันธบัตรเพื่อนำมาคืนเงินฝาก​ทำให้​ขาดทุน​ไป 1.8 พันล้านดอลลาร์ฯ

8.จึงมีข่าวแบงก์ SVB ​ขาดทุน​ ประชาชน​กลัวเงินฝากจะสูญ​ จึงเกิด​การแห่ถอนเงินจากนั้นก็กระจายไปแบงก์อื่นๆ​และกระจายไปทั่วโลก รัฐบาลสหรัฐ​ จึงใช้มาตรการแรง​ โดยคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน​(ไม่ใช่แค่​ 250,000​ ดอลลาร์ฯ ต่อบัญชี)​เพื่อหยุดปัญหา​แบงก์ล้ม​เป็นระบบ

9.เราจะเห็นได้ว่า​การรีบขึ้นดอกเบี้ย​มากๆ (เพื่อลดเงินเฟ้อ)​ นอกจากจะลดการจ้างงาน​และลดอัตรา​ความเจริญเติบโตของประเทศแล้ว​ยังทำให้สถาบันการเงินต่าง ๆ ล้มลงได้ เช่น แบงก์ SVB​ ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี​1983 เกือบ 40​ ปี​แล้ว​​ กรณีธนาคารเครดิตสวิส ซึ่งตั้งมาแล้ว 167 ปี ก็เช่นเดียวกัน

10.นอกจากนี้ การขึ้นดอกเบี้ยแรง ๆ​ เร็ว​ ๆ​ ยังทำให้ธุรกิจ​ต่าง ๆ​ ปรับตัวไม่ทัน​และล้มลงได้ เพราะต้นทุนขึ้น​ยอดขายลด​ รายได้ลด​ รัฐบาลจึงควรระมัดระวัง อย่าให้​ธนาคารกลางใช้มาตร​การ​ขึ้นดอกเบี้ยมาก ๆ​ เร็ว ๆ โดยคิดไม่รอบคอบ​เพราะ “การปรับตัวใด ๆ​ ต้องใช้เวลา ควรค่อยเป็นค่อยไป”

11.เมื่อปี 65 นักการเงินไทย​หลายคน ออกมาเรียกร้องให้แบงก์​ชาติ​ไทย​รีบขึ้นดอกเบี้ยมาก ๆ เร็ว ๆ​ ตามสหรัฐ หากแบงก์ชาติ​ไทยได้ทำตาม​ เราคงเห็นระบบการเงินและสถาบันการเงินไทย​​มีปัญหา​การแห่ถอนเงินฝาก และอาจล้มลงได้ ครับ “The financial sector must always be prudent”