เมื่อวันที่ 1 เม.ย. นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนางรุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ พล.ร.ท.อาภากร อยู่คงแก้ว ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 นายเพิ่มศักดิ์ คงแก้ว ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 นำคณะทูตและกงสุลต่างประเทศประจำประเทศไทยพร้อมคู่สมรส เดินทางลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา เพื่อติดตามโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โครงการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลในพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และร่วมปล่อยเต่าทะเล คืนสู่ธรรมชาติ 

โดยนายอรรถพล กล่าวว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ต้อนรับคณะทูต สู่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา ซึ่งหมู่เกาะสิมิลันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ในปี พ.ศ. 2561 ก่อนการระบาดของโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 9 แสนคน ด้วยทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลอันดามัน และความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นเอกลักษณ์ไม่มีที่ใดเหมือน ระบบนิเวศทั้งบนบกและในทะเลอันดามัน เกื้อกูลชีวิตนับพันชนิด ยังความมีชีวิตชีวาให้แนวปะการัง อีกทั้งการประมงในทะเลอันดามัน คุณค่าอันโดดเด่นนั้น ทำให้หมู่เกาะสิมิลันได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2525 และปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน ซึ่งอยู่ในบัญชีเบื้องต้นในการเสนอเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก 

นายอรรถพล กล่าวว่า สำหรับพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน ที่นำเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลตลอดชายฝั่งทะเลอันดามันที่อยู่ตอนบนของคาบสมุทรไทย ในเขต จ.ระนอง พังงา และภูเก็ต รวมทั้งสิ้น 6 อุทยานแห่งชาติ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง อุทยานแห่งชาติแหลมสน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง อุทยานแห่งชาติสิรินาถ รวมไปถึงพื้นที่ป่าชายเลน จ.ระนอง และพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง ซึ่งเป็นองค์ประกอบของนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่สำคัญทางฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย 3 นิเวศภูมิภาค (Ecoregion) ที่สำคัญ คือ นิเวศภูมิภาคป่าชายเลนและกลุ่มเกาะชายฝั่ง นิเวศภูมิภาคหมู่เกาะทะเลลึก และนิเวศภูมิภาคชายหาดและป่าสันทรายชายฝั่ง รวมพื้นที่ทั้งหมด 2,908 ตร.กม. เป็นพื้นที่หลัก 1,159.55 ตร.กม. และพื้นที่กันชน 1,748.45 ตร.กม.  

ด้านนางรุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า สำหรับการเสนอพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเป็นมรดกโลกนั้น เริ่มดำเนินการควบคู่กับการเสนอพื้นที่อุทยานฯ แก่งกระจาน มาตั้งแต่ปี 2547 แต่เนื่องจากมีหลายพื้นที่ที่จะต้องเร่งขึ้นทะเบียน จึงยังไม่ได้มีการดำเนินการต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2552 ได้มีการจัดทำแผนการขึ้นทะเบียนแหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเป็นพื้นที่มรดกโลกอีกครั้งหนึ่ง ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ จ.ระนอง-สตูล รวม 10 พื้นที่อุทยานฯ และพื้นที่อนุรักษ์อื่นๆ อย่างไรก็ตาม จากนั้นได้มีการปรับลดพื้นที่เหลือเพียงอันดามันตอนบน คือตั้งแต่พื้นที่ จ.ระนอง-อุทยานฯ สิรินาถ จ.ภูเก็ต เพราะเป็นพื้นที่ในความดูแลของกรมอุทยานฯ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งบางส่วน ที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยไม่เสี่ยงต่อการเป็นพื้นที่มรดกโลกในภาวะอันตรายในอนาคต สำหรับพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน มีความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วย พืช 446 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 103 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 98 ชนิด นก 314 ชนิด สัตว์น้ำ สัตว์ทะเล 2,133 ชนิด และยังเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าหายากหลายชนิด   

“จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2565 ได้มีการเสนอแหล่งมรดกอันดามันในบัญชีรายชื่อเบื้องต้นของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งประเทศไทยจะต้องเร่งจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์เพื่อนำเสนอต่อ ครม. และส่งไปยังคณะกรรมการมรดกโลกภายในเดือน ก.พ. 2567 จากนั้นคณะกรรมการมรดกโลก จะส่งผู้เชี่ยวชาญมาประเมินพื้นที่ว่า เข้าหลักเกณฑ์การเป็นพื้นที่มรดกโลกหรือไม่ และคาดว่าสามารถผลักดันการขึ้นบัญชีแหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน เป็นมรดกโลกได้ภายในปี 2568” นางรุ่งนภา กล่าว  

นางรุ่งนภา กล่าวว่า ทั้งนี้จากการที่ได้นำคณะทูตลงพื้นที่ ก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยขึ้นทะเบียนพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเป็นพื้นที่มรดกโลก โดยต้องได้รับเสียงสนับสนุน 2 ใน 3 จาก 21 ประเทศรัฐภาคีอนุสัญญามรดกโลก อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ มีชุมชนชาวมอแกนอยู่ประมาณ 70 ครอบครัว ซึ่งต้องชี้แจงทำความเข้าใจว่า เขาจะได้รับประโยชน์อย่างไรจากการขึ้นทะเบียนพื้นที่เป็นมรดกโลก และไม่น่าเกิดปัญหาล่าช้าเหมือนอุทยานฯ แก่งกระจาน อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่สมบัติของกรมอุทยานฯ แต่เป็นสมบัติของคนไทยทุกคน.