สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ว่า คณะกรรมการว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ซีอีดี) เรียกร้องให้อิรัก ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้สูญหายสูงที่สุดในโลก ค้นหาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ และลงโทษผู้กระทำผิด ทว่าสิ่งนั้นกลับถูกขัดขวาง เนื่องจากการขาดคำจำกัดความของการบังคับให้สูญหาย ว่าเป็นอาชญากรรมในกฎหมายของอิรัก
รายงานของยูเอ็น ระบุว่า ประชาชนมากถึง 290,000 คน รวมถึงชาวเคิร์ด ราว 100,000 คน ถูกบังคับให้สูญหายด้วย “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ของฮุสเซน ในเคอร์ดิสถาน ระหว่างปี 2511 และปี 2546
ทั้งนี้ การสูญหายยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังเหตุการณ์รุกรานอิรัก ที่นำโดยสหรัฐ เมื่อปี 2546 ซึ่งมีการจับกุมชาวอิรักอย่างน้อย 200,000 คน โดยเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนข้างต้นถูกคุมขังในเรือนจำที่ดำเนินการโดยสหรัฐ หรือสหราชอาณาจักร
“มีการกล่าวหาว่า ผู้ต้องขังถูกควบคุมตัวโดยไม่มีหมายศาล เนื่องจากมีส่วนร่วมในปฏิบัติการก่อความไม่สงบ ขณะที่คนอื่นๆ ถูกระบุว่าเป็น “พลเมืองที่อยู่ผิดที่ผิดเวลา” ซีอีดี กล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น การหายสาบสูญยังมีที่มาจากการลักพาตัวระลอกใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการประกาศตั้งรัฐอิสลามของกลุ่มไอเอส เหนือดินแดนส่วนหนึ่งของอิรัก
นอกเหนือจากการระบุถึงการสูญหายของประชาชนราว 250,000 ถึง 1 ล้านคน ในอิรัก นับตั้งแต่ปี 2511 ซีอีดียังเรียกร้องให้อิรักสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกัน กำจัด และแก้ไขอาชญากรรมที่เลวร้ายนี้โดยทันที ตลอดจนจัดตั้งหน่วยงานอิสระ เพื่อทำให้แน่ใจว่า ผู้ถูกกักขังมีอยู่ในรายชื่อ และครอบครัวของพวกเขาทราบถึงตำแหน่งที่อยู่.
เครดิตภาพ : REUTERS