นาทีนี้ต้องยกให้เธอ กระแต อาร์สยาม ที่สร้างความฮือฮาไม่หยุดกับท่าพีระมิด จนกลายเป็นไวรัลในโลกโซเซียล เสียงชมก็มี แต่เสียงวิจารณ์ก็มากมาย ล่าสุดมาออกรายการคุยแซ่บShow ยอมรับว่า ตนเองเป็นคนที่ทำอะไรสุดอยู่แล้ว โนสนโนแคร์คำวิจารณ์ พร้อมเข้าใจคนที่ดราม่า อาจจะมีปมในใจ พร้อมเผยเรื่องสุดเซอร์ไพร้ส์ อีก 2 ปี แต่งแน่ และอยากมีลูกแฝด รวมไปถึงเล่าเรื่องเสียน้ำตา หนีตายจากการโดยวางระเบิด 3 ลูกติด

กระแต เผยว่า “หนูเป็นคนที่ทำอะไรสุดทุกอย่าง เพราะทาร์เก็ตเราคือแม่ๆ น้องๆ เขาจะรอดู จะได้อิ่ม ส่วนท่าพีระมิด มันเป็นเพลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับความงามก็นึกถึงคลีโอพัตรา และท่าเต้นแบบมัมมี่ เต้นแบบหักๆ (ยิ้ม) และที่มันสั้นเพราะเป็นเพลงโฆษณา ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าทำอะไรไป แล้วต้องโดนอะไร เรามองว่าเป็นความปกติ มีคนชอบและต้องไม่มีคนชอบอยู่แล้ว และสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าโดนแน่นอน แต่อยากให้มองลึกลงไปว่าเป็นศิลปะ ว่าเป็นความยาก ความแข็งแรง ท่าพีระมิดมันยากมาก ฉีกขา กลับหัว แต่ต้องสวยงามด้วย เพราะสวยก็มาก ท่ายากอีกด้วย (ยิ้ม) เพราะเราทำใจไว้แล้ว ถามว่าคอมเมนต์ไหนที่ยังรับไม่ได้อยู่มาเกือบ 20 ปีในวงการบันเทิง ณ ตอนนี้รับได้ทุกคอมเมนต์ เฉยๆ กับคอมเมนต์ที่เป็นท็อกซิก เวลาเลื่อนมาเจอหนูชินแล้ว เพราะเจอมาโดยตลอด เอาจริงๆ ไม่ได้โกรธเลย เพราะเราไม่ได้รู้จักเขา และไม่อยากเอาพลังลบมาใส่ในชีวิตตัวเอง และสงสารด้วยซ้ำ กับการที่เจอคนมาด่าเพื่อความสะใจตัวเอง หนูคิดว่าชีวิตเขาต้องมีปมไหม การที่ชีวิตคนเรามีความสุขพอ เขาจะไม่หยิบพลังลบให้คนอื่น”
“เราเป็นคนตรงๆ ที่เราตอกกลับ เพราะอยากให้มีประเด็นเฉยๆ ไม่ได้อยากตอกกลับเลย แต่พอตอกกลับก็เป็นข่าว ลึกๆ เราก็อยากอธิบายในมุมของเราเท่านั้นเอง ก็ตอบหน่อย สร้างกระแสหน่อย โปรโมตเพลง (หัวเราะ) ชุดสีนู้ดที่ขึ้นกับไทเทเนียม มันเป็นคอนเสิร์ตครบรอบของพี่ๆ วงไทเทเนียม มีโอกาสได้ร่วมงาน เราอยากให้เกียรติ และสังคมฮิปฮอป ถ้าผู้หญิงแต่ง คือแซ่บกว่าหนูเยอะมาก ในงานฟีลในผับ และแต่งแบบนั้นก็ตามกาลเทศะ ไม่ได้แต่งแบบนั้นเดินข้างนอก ถามว่ามันโป๊ไหม คือสำหรับหนูถ้าชุดไปทะเลก็บิกินี บิกินีก็โป๊แล้วนะ แต่ชุดไม่ได้โป๊นะ เป็นบรา และกางเกงขายาว แต่เป็นการผ่าตรงก้น ให้ดูว้าวเป็นเหมือนบิกินี เหมือนใส่ชุดว่าย และนี่ใส่ในงานคอนเสิร์ต เป็นงานภายใน ชุดนี้เราเซฟอย่างดี ยอมรับว่าเราเป็นคนเริ่มก่อน ยุคบุกเบิกแฟชั่นแบบนี้ เราก็ต้องโดนกระแสแบบนี้ ถามว่ากระแตใส่ชุดธรรมได้ไหม เอาจริงๆ ตอนมาจากบ้านคือใส่เสื้อตัวใหญ่ กางเกงยีนตัวใหญ่ๆ นั่นคือปกติ แต่เวลามางานด้วยลุคของเราเอง ก็เลยต้องแต่งแบบนี้ จะบอกว่าไอ้เรียบร้อยมีไหม คือเราคือทำเพลงแบบเป็นลูกทุ่งเลย รอพี่ที่บ้านนอก ใส่ผ้าถุงแบบบ้านๆ ก็ไม่ดูกัน เรียบร้อยก็ไม่มีคนดู ซึ่งก็มีคนถามทำไมไม่ใส่เรียบร้อยเหมือนคนอื่น เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จนเราสูญเสียความเป็นตัวเอง เราก็เลยอยากถามแฟนๆ อยากเห็นเราในลุคไหน เขาก็เมนต์ให้กลับไปเป็นแบบเดิม แต่พอกลับไปเขาก็ไม่ชอบ และวงการบันเทิง มันคือธุรกิจอย่างหนึ่ง เราเป็นนักธุรกิจ เรารู้ว่าเราขายอะไร ถนัดอะไร ลูกค้าเราคือกลุ่มไหน สุดท้ายคนที่ไม่เสพเรา เขาก็ไม่ชอบเราอยู่ดี แม้คนที่ชอบเรา จะเป็นกลุ่มเล็ก เราทำแล้ว เราไม่อึดอัด ทำไมเราต้องความคาดหวังของคนทั้งโลกมาใส่ตัวฉันทำไม ฉันเหนื่อย”

กระแต เล่าต่อว่า “เรื่องนี้โกรธแบบจริงๆ สำหรับตอนนี้ไม่มีเลย เพราะเราโชคดีที่มีธรรมะเข้ามาขัดเกลาตัวเอง อะไรที่อ่านแล้วเป็นทุกข์ เราก็ไม่รับมา เรามองเป็นเรื่องธรรมดา เราใส่แบบนี้ ยังไงก็โดนด่า ก็ต้องรับในสิ่งนั้น ที่วิจารณ์ว่านักร้องไทยขายร่างกายไม่โกรธนะ เพราะมันเป็นเรื่องจริง หนูขายจริง มันคือความพยายาม ออกกำลังกายหนักมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เราจะมีรูปร่างแบบนี้ การที่เรารูปร่างของเรา จะได้เป็นแรงบันดาลใจให้คนนั้นได้รักษาสุขภาพ กระแตเองก็ทำเพื่อครอบครัวจริงๆ เราทำเพื่อคนที่เรารัก เราทำเพื่อพ่อแม่ ชีวิตเราวนลูปแค่นี้ สุดท้ายคนที่ด่า คนที่ไม่รัก ตอนเราป่วย เขาไม่ได้มาดูแลเรา ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ทุกคนบนโลก และเราก็ทำงานเพื่อสนองในสิ่งที่เรารักด้วย ไม่ได้หวังว่าจะต้องดัง จะต้องแมส แต่แค่ได้ทำแล้ว ก็โอเค ที่คนมองเราหิวแสงก็หิวนะ เพราะวงการนี้ทุกคนก็ต้องการแสงหมดแหละ ไม่งั้นคุณก็คงไม่มาอยู่ในวงการบันเทิง แต่ว่าเราไม่ใช่เกิดมาสวย เฟอร์เฟกต์ ไม่ใช่ยืนเฉยๆ ก็ดัง ไม่ได้สวยขนาดนั้น เราก็พยายามทำตัวเองให้อยู่ตรงที่ๆ มีแสงแหละ ก็ตอบตรงๆ”

“เรื่องแต่งงานที่เคยบอกถ้าครบพันล้านจะแต่งงาน ที่ตอนนั้นเราพูดแบบนั้นไป ดูเหมือนหน้าเงินเนอะ ถ้าไม่ถึงไม่แต่ง ไม่ใช่นะ เป็นแค่การตั้งเป้า เพื่อเป็นแรงผลักดัน แต่คิดว่าไม่เกิน 2 ปี ตอนนี้ 37 เราก็อยู่ในช่วงวัยที่มีครอบครัวได้แล้ว ซึ่งถามว่าเราอยากมีลูกไหม และถ้ามีโอกาส เราก็อยากมีลูกแฝด ขอ 2 คนทีเดียว คิดว่าสัก 2-3 เดือน จะไปฝากไข่ ที่เราดูรักหุ่นนี้มีลูกคืออาจจะมีหวง แต่สุดท้ายแล้วก็ปล่อยไปตามธรรมชาติให้มันเป็นไป แต่จะกลับมาเหมือนเดิมไหม ก็ต้องลองดู ซึ่งแฟนเราคือรู้จักกันมาจะ 10 ปีแล้ว เขาก็พร้อมนะ เป็นคู่ที่ซัพพอร์ตกันตลอด ปรึกษาเรื่องธุรกิจ เขาอยู่หลังบ้าน เราอยู่หน้าบ้าน ที่คนแซะว่าคนอย่างแตจะเอาอะไรไปสอนลูก เออ…ลูกต้องแซ่บกว่าแม่ค่ะ (หัวเราะ) ล่อเล่น ไม่ใช่ค่ะ คนเรามีเรื่องของเวลา เด็กๆ ก็มีการสอนตามวัยเขา ถ้าอันไหนดีก็ทำตาม หมายถึงบอกเด็กๆ ที่ดูเราอยู่ และผู้ปกครองก็มีหน้าที่ดูแลบุตรหลานตัวเอง ถ้าไม่ดีไม่ต้องจำ ไม่ต้องทำตาม แตมีส่วนที่ดีและไม่ดีเหมือนคนอื่น ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่ทุกคนได้ แต่ถ้าเรามีเรา เราจะสอนในส่วนที่เขาควรรู้ ถ้าโตมาเขาอยากจะแซ่บ แซ่บเลย แม่เชียร์ แต่เราก็มีขอบเขต”

“เรื่องเกือบตายคือ ไปคอนเสิร์ตที่หาดใหญ่ ประมาณ 10 กว่าปีแล้ว เราตกใจมาก อันนั้นทำให้เปลี่ยนชีวิต เข้าธรรมะ ว่าเราจะตายวันไหน เราร้องเพลงอยู่ดีๆ บึ้ม มีเสียงระเบิด เราลืมสเปรย์ เราให้คุณแม่ลงไปซื้อ ไม่ถึง 5 นาทีได้ยินเสียงระเบิด โทรฯหาแม่ก็ไม่ติด ตอนนั้นคิดว่าแม่ คิดในหัวว่าทำแม่ตาย ร้องไห้ ทุกคนก็วิ่งหนี เพราะระเบิด 3 รอบ กะถล่มตึก เราไปรอตรงสระน้ำ 4 ชม. เพื่อรอกู้ภัยมาช่วย พอนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นจะร้องไห้ มันเหมือนในหนังว่าเราจะตายไหม เราหนีมาตรงทางหนีไฟ มีคนนอนหมดสติ กระต่ายบอกไม่ไหว เราก็พยุงเขาไปจนถึงชั้นล่าง เปิดประตูออกไป ก็เจอคุณแม่อยู่หน้าประตู (เสียงสะอื้น) วิ่งกอดกัน ชีวิตเปลี่ยนเลย วันนั้นทำให้เราตื่น ทำให้เราอยากอยู่กับปัจจุบัน อยากทำอะไรก็ทำเลย”