เมื่อเวลา 18.45 น. วันที่ 31 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ชี้แจงว่า จากการอภิปรายแก้ปัญหาโควิดได้ไม่ดี ไม่มีระบบ ขาดการใช้องค์ความรู้รวมถึงการรวบอำนาจคนเดียวนั้น โดยเรื่องการสั่งการเป็นการสั่งงานตามมติ ตามข้อเสนอแนะ ตนไม่เคยแอบเรียกใครไปสั่งเฉพาะเรื่อง เป็นการสั่งงานโดยเปิดเผย อย่าหาว่าตนสั่งงานโดยเผด็จการ ทั้งนี้ การบริหารสถานการณ์โควิด รัฐบาลใช้กระบวนการสากลในการรับมือโรคระบาดเป็นพื้นฐานในการจัดการแผน ตั้งแต่ปี 2562 มีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ประกาศเป็นโรคติดต่ออันตราย ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2558 ทั้งนี้ จากการพัฒนาสถานการณ์ แม้เรื่ององค์กร บุคลากรเรามีความพร้อมในระยะแรก มาตรฐานสาธารณสุขเรายอดเยี่ยม แต่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะรองรับโควิด-19 ที่มีคนป่วยหลายล้านคนทั่วโลก เราก็มีการพัฒนาระบบสาธารณสุขให้ดีขึ้น ในระหว่างนี้อาจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ระบบสาธารณสุขล้มเหลว ตนเชื่อมั่นหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่ให้ข้อมูลตนทั้งหมด แล้วตนมาวิเคราะห์และรับฟังว่ามาตรการที่เสนอมาเป็นอย่างไร ทั้งนี้ไม่มีใครต้องการให้เกิด ไม่มีใครต้องการจะละเว้นในสิ่งที่ควรจะต้องกำกับดูแล

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เรื่องชุดตรวจโควิด Antigen Test Kit (ATK) นอกจากรัฐบาลนำเข้าแล้ว เป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ที่เข้ามาจำหน่ายทั่วไปในปัจจุบัน แต่รัฐบาลก็มีความจำเป็นต้องจัดหาจำนวน 8.5 ล้านชิ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ขณะนี้ เรื่อง ATK ในการประชุม ศบค.ตนไม่เคยสั่งการให้ซื้อ ATK ที่ผ่านองค์กรอนามัยโลก (WHO) เพราะสอบถามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข และคณะแพทย์ต่างๆ ก็ไม่มี ATK ชนิดในที่ WHO รับรองให้ใช้กับประชาชน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันมีหลายระลอก และมีการพัฒนาไวรัสกลายพันธุ์ ซึ่งอาจมีอื่นๆอีกในอนาคต เราคาดการณ์ไม่ได้ เรื่องวัคซีนความต้องการกับภาคการผลิตไม่สอดคล้องกัน ต้องมีการจัดสรรปันส่วน เราก็มีโรงงานผลิตของเรา ซึ่งผลิตได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเป็นการรับจ้างผลิต ซึ่งเราต้องติดต่อบริษัทใหญ่ โดยได้รับการยืนยันจากบริษัทแม่ว่าจะจัดหาให้ครบ 61 ล้านโด๊สภายในสิ้นปี ซึ่งเรื่องวัคซีนเป็นเรื่องผู้ซื้อ การกำหนดจะให้ การตกลงอะไรต่างๆ เป็นของผู้ซื้อทั้งหมด ซึ่งมีการแย่งกันซื้อมาก เราก็พยายามอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้ตามลำดับ รวมทั้งการผลิตวัคซีนที่ผลิตเองในประเทศ ส่วนเรื่องเอกชนนำเข้าวัคซีนตนไม่เคยขัดข้อง ถ้าทำถูกต้องตามระเบียบก็ทำได้หมด วันนี้ก็มีการนำเข้าหลายบริษัท ส่วนเรื่องแทงม้าตัวเดียว ไม่ร่วมโครงการโคแวกซ์ วันนี้คนที่เป็นสมาชิกโคแวกซ์ก็ยังไม่ได้ตามที่ต้องการเลย ต้องการล้าน ได้มาเป็นแสน และไม่ได้ตามยี่ห้อด้วยซ้ำ แต่ระยะที่สองน่าจะทำได้ เราพยายามพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ได้ไปร้องขอใคร แต่ถ้าเขาเห็นเป็นมิตรประเทศเขาบริจาคให้เอง เรื่องการฉีดวัคซีนตนไม่อยากให้ไปด้อยค่าวัคซีนใดทั้งสิ้น ต้องดูว่าที่ผ่านมาเรารักษาคนหายไปเท่าไหร่ หากเราไม่ฉีดวัคซีนอะไรเลย รอวัคซีนดีๆ จะตายเยอะกว่านี้ไหม

“วันนี้ท่านบอกว่าไม่มีการพัฒนาเลยไม่ใช่ ช่วงแรกอาจมีคนที่ตกหล่น ไม่สามารถเข้าสู่โรงพยาบาลได้ เตียงเต็ม ก็มีการพัฒนาโรงพยาบาลสนาม และยกระดับขึ้นมา วันนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นมาหลายสัปดาห์แล้ว คงไม่เกี่ยวกับการปกปิดยอด ผมทำไม่ได้ เพราะสถิติเหล่านี้ต้องรายงานไปองค์กรระหว่างประเทศด้วย ซึ่งมีการประเมินทุกประเทศในโลก ยังไม่มีข้อสังเกตอะไรมา และเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะดีขึ้น ไม่อยากพูดให้ทุกคนท้อแท้ ผมเสียใจ ที่มีการสูญเสีย ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ผมไม่อาจจะไปค้าความตาย ดังนั้นอย่าใช้คำพูดที่เว่อร์เกินไป ใครเสียชีวิตก็ไม่มีใครมีความสุข ยิ่งตอนนี้ผมเป็นนายกฯ ผมแบกรับชีวิตของท่านไว้ด้วย ผมไม่ทำอะไรที่เกิดปัญหา” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้เรายืนยันว่าเราสามารถจัดสรรวัคซีนได้ครบ 50 ล้านคน ภายในเดือน ต.ค. และสิ้นปีเราจะมีวัคซีนถึง 140 ล้านโด๊ส ส่วนจะฉีดอย่างไรก็เรื่องของหมอ ตนไม่สามารถสั่งฉีดนู่นฉีดนี่ได้ อย่างไรก็ตาม วันนี้เราจำเป็นต้องอยู่กับโควิดให้ได้ โดยจะมีมาตรการที่กำหนดออกมาวันที่ 1 ก.ย.นี้ เพื่อให้เศรษฐกิจและสุขภาพเดินหน้าไปด้วยกันให้ได้ ส่วนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเราตนถือว่าเรายังอยู่ในเกณฑ์ที่แก้ไขได้ในอนาคต อย่างไรด็ตาม ตนใช้วิธีการยึดหลักการวิชาการ และข้อมูลทางสถิติประกอบการทำงานและตัดสินใจเสมอ ไม่ใช่ตนนึกอยู่ดีๆก็สั่ง ตื่นเช้ามาก็สั่ง นั่นมันคนบ้าแล้ว ตนจะสั่งอะไรก็ต้องถามมติที่ประชุมว่าดีไหม ได้ไหม ตนสั่งไม่ได้ ท่านเคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้วท่านสั่งแบบนี้หรือเปล่าสมัยท่านเป็น ตนสั่งไม่ได้และไม่รู้ว่านายกฯคนไหนสั่งได้ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตนทำไปในระดับรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่าตนไม่ได้มีเจตนาทุจริต และตนไม่ค่อยคุ้นเคยกับการทุจริต ส่วนเรื่องการโอนอำนาจรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ตามกฎหมาย 40 ฉบับ เป็นการโอนอำนาจชั่วคราว ระยะเวลาหนึ่ง ไม่ใช่ทุกวันทุกนาที ไม่ใช่อยู่ๆก็ฉุกเฉินตลอด ใช้อำนาจอย่างนี้ก็บ้าแล้ว

โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนได้รับการสั่งสอนจากพ่อแม่ ครูบาอาจารย์มา ให้พูดจากด้วยความสุภาพ เรียบร้อย ใจเย็นๆ ไม่ใช้คำพูดที่หยาบคาย เหยียดหยามดูถูก ด้วยคำว่าสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล ซึ่งตนจะพยายามทำให้สภาแห่งนี้เป็นสภาแห่งผู้ทรงเกียรติอย่างแท้จริง