เมื่อวันที่ 1 ก.ย. พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม กล่าวชี้แจงถึงกรณีพรรคก้าวไกล ออกมาแฉปฏิบัติการไอโอของกองทัพภาคที่ 2 ว่า ตนเคยชี้แจงในประเด็นดังกล่าวต่อสภามา 2-3 ครั้งแล้ว ในการดำเนินการของกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยมีนโยบายสั่งการให้กองทัพ หรือ กอ.รมน.ปฏิบัติการด้านข่าวสาร ในลักษณะบิดเบือนหรือให้ร้ายใครทั้งสิ้น แต่ประชาชนคงทราบว่าปัจจุบันในโซเชียล มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน หรือเฟคนิวส์ ข่าวลวง ข่าวปลอม เพื่อประโยชน์ต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ตาม สร้างความเข้าใจผิดต่อประชาชน รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร และส่งผลกระทบต่อความเรียบร้อยของสังคมและความมั่นคงของประเทศ จึงมีความจำเป็นที่หน่วยงานทุกหน่วยโดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องก้าวทันต่อสถานการณ์มีความติดตามข้อมูล และการเผยแพร่

พล.อ.ชัยชาญ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือจะต้องสื่อสารทำความเข้าใจสร้างการรับรู้ให้กับกำลังพลของหน่วย รวมถึงครอบครัวของประชาชนทั่วไปไม่ทราบว่าสิ่งต่างๆที่ถูกต้องนั้น มีข้อเท็จจริงอย่างไร ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและสามารถสร้างการรับรู้ทั่วไปได้ ซึ่งในส่วนของกระทรวงกลาโหม ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยที่ประสานงานในการดำเนินการใน 2 ลักษณะคือ ชี้แจงข้อมูลสู่สาธารณะส่งผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นจริงสร้างการรับรู้และความเข้าใจประเด็นสำคัญต่างๆให้กับประชาชน พร้อมกับตรวจสอบข่าวปลอมข่าวบิดเบือนต่างๆ โดยแจ้งให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า สิ่งที่มีการอภิปรายเป็นนั้น หน่วยกองทัพได้ดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเอกสารไม่เป็นเอกสารจริง มีจุดที่รถต่างๆ โดยหนังสือที่นำมาแสดงเป็นหนังสือที่ทำขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.ถึงเดือนก.ค. 2554 หากสังเกตว่าลายเซ็นของแม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน ในหนังสือทั้ง 2 ฉบับไม่เหมือนกัน ที่สำคัญคือฉบับหนึ่งเป็นลายเซ็นของอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 คนก่อน แต่ภายใต้วงเล็บลายเซ็นนั้นเป็นชื่อของ แม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน นอกจากนี้อดีตผู้อำนวยการกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 ที่มีชื่อลงนามในฉบับนี้ ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่เมื่อ 1 ปีเศษแล้ว แต่กลับยังปรากฏลายเซ็นอยู่ และลายเซ็นของรองแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ตรงกับลายเซ็นของจริง รวมไปถึงนามสกุลของแม่ทัพภาคที่ 2 นั้นไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นถ้าเป็นเอกสารจริง

พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า นอกจากนี้เนื่องจากคณะกรรมการสารสนเทศ กองทัพภาคที่ 2 มีการเขียนตำแหน่งยศ ไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นหนังสือฉบับจริงแล้วการเขียนยศกับตำแหน่ง ควรจะถูกต้อง และที่สำคัญได้ตรวจสอบหนังสือดังกล่าวแล้ว เป็นหนังสือของกองทัพภาคที่ 2 เลขที่หนังสือที่ออกหนังสือถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 มีเลขหนังสือเพียง 851 ฉบับ แต่หนังสือที่ผู้อภิปรายนำมาแสดงมีเลขที่ 1121

พล.อ.ชัยชาญ กล่าวต่อว่า กองทัพบกในฐานะที่เป็นหน่วยที่ได้รับความเสียหาย จะได้ดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการตามความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ย้ำว่า กระทรวงกลาโหมหรือกอ.รมน. ไม่เคยมีนโยบายที่จะให้หน่วยต่างๆ ไปดำเนินการอะไรที่เป็นเรื่องของการบิดเบือนหรือให้ร้ายกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด การดำเนินการนั้นคือการประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนได้รับทราบ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมและไม่ให้เกิดความขัดแย้ง

จากนั้น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ประท้วงตามข้อบังคับที่ 69 โดยกล่าวว่า ผู้อภิปรายนั้นไม่อยู่ในประเด็น และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังปรึกษากัน ซึ่งส.ส.ของก้าวไกล มีประเด็นคำถามไปยังนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า มีการอมเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการไอโอหรือไม่ จึงขอถามสั้นๆถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ว่ามีการอมเบี้ยเลี้ยงผู้ปฏิบัติการหรือไม่ เพราะ SMS ที่ส่งมา ยังอยากให้ถามเรื่องเบี้ยเลี้ยง ว่าต้องส่งให้ผู้บังคับบัญชาหรือไม่ตามโครงการคนละครึ่ง ในรูปแบบใหม่ จึงอยากให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้ชี้แจงด้วยเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทหารที่รับฟังการชี้แจงหรือทางบ้านได้สบายใจว่ามีการอมเบี้ยเลี้ยงให้นายจริงหรือไม่

โดยพล.อ.ชัยชาญ ได้ลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้งหนึ่งว่า เรื่องนี้ได้สั่งตรวจสอบแล้ว หากมีการผิดจริงก็ต้องได้รับการลงโทษ

ต่อมาช่วงบ่าย ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเป็นวันที่ 2 โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ได้ขอใช้สิทธิ์ลุกขึ้นสอบถาม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ที่อยู่ในห้องประชุม เพราะได้รับความเสียหายจากการชี้แจงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า อยากให้ท่านตอบชัดๆในสภาฯแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคลิปวิดีโอที่หน่วยงานของรัฐนำเสนอให้กับผู้บังคับบัญชา และรูปต่างๆนั้นจริงหรือไม่

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า การที่ยกมาบอกว่าลายเซ็นไม่เหมือน พิมพ์ชื่อผิด ตนไม่อาจไปสอนภาษาไทยในกองทัพได้ เพราะฉะนั้นไม่สามารถไประบุได้ว่าถูกหรือผิด ส่วนเรื่องเลขที่หนังสือในกองทัพ ตนคิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงของรมช.กลาโหม เพราะเป็นหนังสือภายในภายใต้การบังคับบัญชา แต่สิ่งที่ต้องตอบชัดๆกับประชาชนวันนี้ว่า ภารกิจปลอมตัวเป็นประชาชนที่มอบหมายให้หน่วยงาน กรม กองต่างๆเป็นความจริงหรือไม่ และภารกิจหลักฐานที่ได้มาชี้แจงในสภาฯในแต่ละภาพมีบุคคลจริงๆ ชั้นยศจริง ตนไม่สามารถไหว้วานเขามาถ่ายภาพได้

“ขอถามว่าในภาพนั้นที่เห็นชัดเจนว่าเป็นการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่ไปด้อยค่าฝ่ายตรงข้าม และสนับสนุนงานของรัฐบาล นี่คือภารกิจฝ่ายความมั่นคงใช่หรือไม่ ส่วนเอกสารท่านบอกไม่จริง แต่ผมบอกว่าจริง ขอให้ไปว่ากันในชั้นศาล ผมยินดีรับผิดชอบทุกเอกสารที่ได้นำมาเสนอในที่นี้ และยินดีให้ศาลตัดสิน และขอเชิญพยานทั้ง 100 กว่าคนในบัญชีรายชื่อ และกอ.รมน. 20 กว่าคน เพราะยกหูโทรแล้ว เขาบอกเองว่าไม่ค่อยเต็มใจทำเท่าไหร่ แต่เป็นการบังคับบัญชาตามสายงาน ดังนั้นขอให้ไปว่ากันในชั้นศาล”นายณัฐชา กล่าว

ด้าน พล.อ.ชัยชาญ รมช.กลาโหม ชี้แจงว่า ตนตอบไปชัดเจนแล้วว่าเอกสาร หลักฐาน ที่ให้มาเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นว่าเป็นเอกสารที่ไม่จริง ซึ่งตอนนี้กองทัพบก และกองทัพภาคที่ 2 ที่ได้รับความเสียหายกำลังตรวจสอบเอกสารทั้งหมด รวมถึงคลิปที่นำมาอภิปรายนั้นเป็นจริงหรือไม่ เพื่อดำเนินการต่อไป

จากนั้นนายณัฐชา พยายามจะลุกขึ้นตอบโต้อีก แต่นายชวน ประธานสภาฯ ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมไม่อนุญาตให้นายณัฐชาพูดต่อ โดยได้กดปิดไมโครโฟนไม่ให้พูด พร้อมระบุว่า นี่ไม่ใช่การอภิปรายฯรมช.กลาโหม จากนั้นพิจารณาให้ผู้ที่รอคิวอภิปรายคนต่อไปทำหน้าที่อภิปรายต่อไป