เพชรบูรณ์ เป็นจังหวัดที่มีการแข่งขันทางการเมืองอย่างดุเด็ดเผ็ดมันมาทุกสมัย ทั้งการเมืองท้องถิ่น หรือสนามระดับชาติ เพราะมีหลายกลุ่มหลายก๊วน ซึ่งล้วนแต่เป็นคนตระกูลดัง ระดับคหบดีทั้งสิ้น
แต่สำหรับการชิงชัย ส.ส.ครั้งนี้ เคลียร์กันไม่ลง.. ความดุเดือดจึงบังเกิดขึ้นอีกคำรบ หลักๆ ก็ 2 พรรคใหญ่ “เพื่อไทย” กับ “พลังประชารัฐ” ที่มี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยคลัง และเลขาธิการพรรคฯ เป็นแม่ทัพใหญ่ เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นฐานที่มั่นทางการเมืองของตัวเอง ขณะที่ พรรคเพื่อไทย มี นายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธุ์ อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ 6 สมัย ที่ถอยจากพลังประชารัฐ แล้ววางมือ แต่ส่งหลานชายและน้องชายลงแข่งในนามเพื่อไทย ทั้งนี้ นายสันติ และนายสุรศักดิ์ แต่เดิมนั้นทั้งสองจับมือเป็นพันธมิตรการเมืองในทีมเดียวกันมาก่อน แต่รอบนี้ทั้งคู่ต่างเดินคนละทาง.. นี่แหละ “การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” จริงๆ ..
สำหรับ จ.เพชรบูรณ์ มีผู้มีสิทธิลงคะแนนราว 780,000 คน แบ่งเป็น 6 เขตเลือกตั้ง จึงมี ส.ส.ได้ 6 คน การสมัคร ส.ส.รอบนี้ มีผู้สมัครทั้งสิ้น 63 คน จาก 14 พรรคการเมือง แต่ กกต.รับสมัคร 60 คน อีก 3 คน คุณสมบัติไม่ผ่าน โดยผู้สมัครแต่ละเขตมีทั้งอดีตแชมป์ และผู้สมัครหน้าใหม่ เมื่อประมวลแล้วที่เป็นตัวเต็งแข่งกันอย่างดุเดือด น่าจะเป็นผู้สมัครพรรคเพื่อไทย กับ พลังประชารัฐ เพราะแต่ละฝั่งล้วนมีกลุ่มฐานเสียงที่แน่นหนา มีกระสุนดินดำขุมกำลังที่พร้อมปะทะด้วยกันทั้งสองฝ่าย ที่สำคัญผู้สมัครตัวเต็งแต่ละคนต่างก็มี “แบ๊กอัป” ที่เป็น “บิ๊กการเมือง” คอยหนุนช่วยอยู่ข้างหลัง การชิงที่ 1 ส.ส.เพชรบูรณ์ ในแต่ละเขต จึงไม่ได้แข่งกันแต่ตัวผู้สมัครเท่านั้น ทว่ายังแข่งกันนอกวงของเหล่าบรรดาเสนาธิการอีกด้วย ฉะนั้นความดุเดือดจึงเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เปิดรับสมัคร…
เริ่มจากเขต 1 มีผู้สมัคร 11 คน แต่ที่จะสู้กันอย่างดุเดือด และสมศักดิ์ศรี น่าจะมี 3 คน คือ น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธ์ุ พรรคพลังประชารัฐ นายวิจิตร พรพฤฒิพันธุ์ พรรคชาติไทยพัฒนา ที่มีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคฯ อดีตนายกสมาคมกีฬา จ.เพชรบูรณ์ และนายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี พรรคเพื่อไทย ทั้ง 3 เคยเป็นอดีต ส.ส.มาก่อน โดยเฉพาะ นายวิจิตร กับ น.ส.พิมพ์พร เป็นอาหลานกัน โดยนายวิจิตร เป็นน้องชายแท้ๆ ของพ่อ น.ส.พิมพ์พร การแข่งขันครั้งนี้จึงเป็น “ศึกสายเลือด” ของตระกูลใหญ่เมืองมะขามหวาน และเป็นที่จับตาของประชาชน ที่คาดว่าจะมีความดุเดือด เมื่อดูถึงความได้เปรียบแล้ว นับว่า น.ส.พิมพ์พร มีความได้เปรียบอยู่ เพราะกลุ่มการเมืองพื้นที่ สังกัดในทีมของนายสันติ ผนึกกำลังช่วย ขณะที่ นายสุทัศน์ ก็ไม่ธรรมดา ยิ่งได้กระแสพรรคและบุคคลระดับผู้นำพรรค มาช่วยปราศรัยในช่วงก่อนโค้งสุดท้าย ยิ่งทำให้มีขวัญกำลังใจที่พร้อมสู้ 2 อาหลาน ส่วนนายวิจิตร นั้น ก็สู้ไม่มีถอย เห็นได้จากลงพื้นที่หาเสียงแบบรายวันไม่มีหยุด ในอดีตนั้นเขาเคยครองพื้นที่นี้ถึง 3 สมัย มีภาพจำเป็นนักการเมืองหนุ่มที่ใกล้ชิดชาวบ้าน และเป็นตำนาน “แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์”.. ที่เอาชนะ นายปัญจะ เกสรทอง อดีต ส.ส.คนดังในครั้งโน้น …สำหรับเขตนี้อีกปัจจัยที่มีผลต่อการแพ้ชนะของผู้สมัครในระดับหนึ่งก็คือ คะแนนเสียงจากกำลังพลสีเขียวในค่ายพ่อขุนผาเมือง ที่มีกว่า 5 พันเสียง จะออกทางไหน? …นี่จึงเป็นชี้จุดขาดอีกด้วย
เขต 2 เขตนี้มีผู้สมัคร 11 คน แต่ที่แข่งกันอย่างสูสีก็ระหว่าง นายจักรัตน์ พั้วช่วย หรือโอเล่ย์ ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ กับ นายชัยณรงค์ สืบสุรีย์กุล หรือหมอกบ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างมีฐานคะแนนแตกต่างกันออกไป สำหรับ โอเล่ย์ เป็น ส.ส.ติดต่อกันมาหลายสมัย ครั้งนี้ได้กลุ่มการเมืองระดมทีมช่วย ถือว่ามีความได้เปรียบมากกว่านิดๆ ส่วน หมอกบ ก็ได้กระแสแลนด์สไลด์ และต้นทุนเดิมที่ออกพบปะชาวบ้านมาตลอดหลายปี แม้จะไม่ได้เป็น ส.ส.ก็ตาม ..
เขต 3 มีผู้สมัคร 10 คน แต่ตัวเต็งแข่งกันสูสีน่าจะระหว่าง นายยุพราช บัวอินทร์ ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ อดีต ส.ส. กับ นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ที่ลาออกจากตำแหน่ง ส.อบจ.เพชรบูรณ์ มาลงสมัคร เขตนี้ความได้เปรียบเสียเปรียบของทั้งคู่มีจุดเด่นจุดด้อยพอๆ กัน ถ้าจะฟันธงก็คงชี้ขาดยาก เป็นมวยหากต่อรองก็คง “เสมอไหนเสมอกัน” แม้ในวงกาแฟของกลุ่มผู้เฒ่า ก็ยังไม่ออกทางไหน ระบุแต่เพียงว่า ทั้งคู่อาจแพ้ชนะกันไม่มาก
เขต 4 มีผู้สมัคร 11 คน เขตนี้แข่งกันระหว่าง นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธุ์ พรรคเพื่อไทย น้องชายนายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธุ์ นักการเมืองรุ่นลายคราม อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ 6 สมัย สู้กับ นายวรโชติ สุคนธ์ขจร ที่ลาออกจากตำแหน่งประธานสภา อบจ.เพชรบูรณ์ มาลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ เขามีนายสันติ เป็นแบ๊กสนับสนุน เขตนี้เป็นอีก 1 เขต ที่มีความดุเดือดไม่ต่างจากเขตอื่น เมื่อเทียบกันแบบปอด์นต่อปอด์นของทั้งคู่ สูสีพอๆ กัน ไม่สามารถระบุได้ว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีฐานคะแนนที่เหนียวแน่น ทำงานการเมืองใกล้ชิดชาวบ้านมานานพอๆ กัน
เขต 5 มีผู้สมัคร 8 คน เขตนี้มีความน่าสนใจที่สุด โดยผู้สมัครที่จะแข่งกันแบบสูสีคาดว่าระหว่าง นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ พรรคพลังประชารัฐ กับ นายสุประวีณ์ อนรรฆพันธ์ พรรคเพื่อไทย และคาดว่าจะดุเดือดเลือดพล่านมากกว่าทุกๆ เขต เพราะระดับกุนซือใหญ่ส่งคนใกล้ชิดลง และปักธง “จะต้องชนะ!”.. กล่าวคือ นางวันเพ็ญ เป็นภรรยาของนายสันติ ส่วน นายสุประวีณ์ เป็นหลานชายสุดรักของนายสุรศักดิ์ ต่างฝ่ายต่างก็ประกาศแพ้ไม่ได้ จึงเป็นเขตที่จับตามากที่สุด ถ้าเป็นมวยก็เปรียบได้ระหว่างมวยสดกับมวยเก๋า เพราะผู้สมัครทั้งคู่ต่างวัยกันมาก ภาพนายสุประวีณ์ เป็นคนหนุ่ม มีความสดทางการเมืองเหมือนปลิดออกมาจากขั้ว ส่วน นางวันเพ็ญ มีความเก๋า นอกจากเป็นภรรยาเลขาธิการพรรคฯ แล้ว ยังเป็นอดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ หลายสมัย เขตนี้ผู้สันทัดกรณีไม่กล้าชี้ขาดใครได้เปรียบเสียเปรียบ คล้ายๆ เขต 3 เปรยๆ แต่เพียงว่า เสมอไหนเสมอกัน

เขต 6 มีผู้สมัคร 12 คน แต่ที่โดดเด่นและคาดว่าจะคว้าชัยครองที่ 1 น่าจะเป็น นายอัคร ทองใจสด ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ บุตรชายคนโตของนายอัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์ และเป็นหลานชายนายเอี่ยม ทองใจสด อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ 10 สมัย ที่ประกาศวางมือทางการเมือง เหตุที่ฟันธงนายอัคร น่าจะคว้าชัย เพราะผู้สมัครคนอื่นๆ ไม่ได้มีฐานคะแนนที่เหนียวแน่น ที่สำคัญก็คือในเมื่อลูกและหลานลงสมัคร คนเป็นพ่ออย่างนายอัครเดช และคนเป็นปู่อย่างนายเอี่ยม ทองใจสด คงต้องช่วยอย่างเต็มที่ ด้วยหวังเป็นทายาททางการเมืองรุ่นต่อไป
สำหรับผู้สมัครรายอื่นๆ ที่ไม่ได้เอ่ยนาม เชื่อว่าแต่ละคนล้วนมีความตั้งใจขันอาสารับใช้ประชาชนในสภาอันทรงเกียรติ แต่ที่ไม่ได้เอ่ยถึงเพราะฐานเสียงยังเป็นรองผู้สมัครตัวเต็งอยู่มาก แต่ในส่วนผู้สมัครพรรคก้าวไกล หลายคนคาดว่า น่าจะได้กระแสจากพลังของคนรุ่นใหม่ มีการประเมินว่า คะแนนพรรคในแต่ละเขต น่าจะได้มากในระดับต้นๆ แต่กระนั้นก็เถอะ!.. “กระแส” หรือจะสู้ “กระสุน” หรือ “กระสุน” จะพ่าย “กระแส” ความแน่นอนย่อมไม่แน่นอน สำหรับคำว่าการเมือง แต่ก็ต้องยอมรับว่า “กระแส” และ “กระสุน” เป็นปัจจัยหลักชี้ขาดแพ้ชนะการเลือกตั้งมาทุกยุคสมัย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่นำเสนอไปนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์และประเมินถึงความน่าจะเป็นเท่านั้น โดยเชื่อตามข้อมูลพื้นฐานของผู้เชี่ยวชาญและสันทัดกรณี ทั้งจากกลุ่มผู้ใกล้ชิด และกลุ่มคนกลางๆ ที่ไม่มีผลประโยชน์กับผู้สมัครและพรรคการเมืองใดๆ… แต่ที่แน่นอนและชัดเจนเหนือกว่าทุกคน ที่จะชี้ขาดแพ้ชนะก็คือ สิทธิและเสียงประชาชนเท่านั้น!…