จากกรณี เพจ BTimes ของนายบัญชา ชุมชัยเวทย์ ผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจชื่อดัง ได้โพสต์ภาพเอกสารบันทึกการประชุมเฉพาะกิจร่วมระหว่างคณะกรรมการด้านวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558, คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และ คณะทํางานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน ซึ่งเป็นการประชุมเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

โดยมีเนื้อหาระบุว่า ที่ประชุมประเมินว่าจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 จำนวน 1.5 ล้านโดส และจะได้รับในไตรมาสที่ 4 รวม 20 ล้านโดส วาระเกี่ยวกับการจัดทำข้อเสนอแนวทางบริหารจัดการวัคซีน มีรายละเอียดว่า ควรมุ่งเน้นไปที่บุคคลทั้ง 3 กลุ่ม กระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นวัคซีนเข็มที่ 3 ได้แก่ 1.กลุ่มบุคคลอายุ 12-18 ปี, 2.กลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้วัคซีน ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และ 3.กลุ่มบุคลากรด่านหน้า หรือ บุคลากรการแพทย์

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีการแสดงความคิดเห็นหลายแนวทาง เช่น ควรให้กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง หญิงตั้งครรภ์ และแก้ปัญหาที่พื้นที่ระบาดก่อน ในขณะที่บางส่วนเห็นว่ากลุ่มบุคคลอายุ 12-18 ปี ยังสามารถรอวัคซีนจากการสั่งซื้อได้ แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เป็นวัคซีนเข็มที่ 3 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าเพื่อเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ปรากฎว่า ส่วนหนึ่งเห็นด้วย เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นกำลังสำคัญ ถึงแม้จะได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคจำนวน 2 เข็มแล้ว แต่บุคลากรการแพทย์ก็ยังเกิดการติดโรคระบาดโควิด-19 หลายราย

ในขณะที่บางส่วนมีความเห็นว่า “ในขณะนี้ ถ้าเอามาฉีดกลุ่ม 3 แสดงยอมรับว่า Sinovac (วัคซีนหลักที่ไทยใช้อยู่) ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น”

มติที่ประชุมคณะดังกล่าว สรุปแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ในเดือน ก.ค. – ส.ค. 64 โดยเห็นชอบควรให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับระยะแรก จำนวน 1.5 ล้านโดส เป็นวัคซีนเข็มที่ 1 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป หรือหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป โดยเน้นในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรง คือ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

ภายหลังจากมีการเผยแพร่เอกสารดังกล่าวออกไป ปรากฏว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่เรียกร้องให้ภาครัฐโดยเฉพาะกลุ่มคนในที่ประชุม ช่วยมองเห็นคำสำคัญของ “นักรบเสื้อขาว” หรือ “บุคลากรการแพทย์” ด่านหน้าให้ได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์นี้ก่อน เนื่องจากเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับโรคร้าย จนสุดท้ายมีการใช้ #ฉีดPfizerให้บุคลากรการแพทย์ ซึ่งขณะนี้มีการแสดงความเห็นในทวิตเตอร์มากกว่า 2.6 แสนครั้งแล้ว