ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.เป็นประธาน เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ชั้นห้อง 6 รัฐสภา ใช้เวลาเพียงแค่ 9 นาทีเท่านั้น โดยมีช่วงหนึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้ทำสีหน้าขึงขัง พร้อมกับกล่าวถึงกระแสข่าวแกนนำพรรค พปชร. บางคนจะไปคว่ำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึงกระแสข่าว “ 3 ป.” แตกคอกันว่า “ข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริง ขอให้ทุกคนรักกัน สามัคคีกัน ถ้าจะทะเลาะกันก็ให้นิดหน่อย อย่าวุ่นวาย เราต้องรวมกันให้เป็นหนึ่งเดียว” 

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ไล่บี้ถาม ส.ส.ว่า มีใครอยากจะถามทำอะไรมั้ย อยากตอบ ถามมาได้เลย แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครได้ถามเลยสักคน ก่อนจะย้ำอีกครั้งว่า มีใครจะพูดอะไรมั้ย แต่ทุกคนก็ยังเงียบอยู่  ก่อนที่ พล.อ.ประวิตร จะจี้ถามไปที่ ส.ส.ภาคใต้คนหนึ่งว่า จะถามอะไรว่ามา โดย ส.ส.คนดังกล่าวได้ถามว่าในวันพรุ่งนี้ (4 ก.ย.) จะต้องโหวตอย่างไร พล.อ.ประวิตร จึงตอบด้วยเสียงขึงขังว่า “ให้เป็นไปตามการประชุมคราวที่แล้ว (การประชุมพรรคเมื่อวันที่ 30 ส.ค.) ให้โหวตไปในทิศทางเดียวกันทุกคน” นอกจากนี้ ยังยืนยันกับ ส.ส.ว่า “เราไม่ต้องการเป็นนายกฯ … นายกฯ​ ไป… ผมก็ไป”

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายการประชุม พล.อ.ประวิตร ยังได้พูดถึงการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการตัดสินใจสนับสนุนให้มีการแก้ไขบัตรเลือกตั้งสองใบ ว่า “จบแล้ว  เราชนะ เราได้เปรียบ”

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังการประชุม ส.ส.พรรค พปชร.เสร็จสิ้น จากนั้นเวลา 13.35 น. พล.อ.ประวิตร ได้เดินทางออกจากรัฐสภา ไปยังมูลนิธิป่ารอยต่อฯ โดยเป็นเวลาที่ไล่เลี่ยกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เดินทางออกไป โดยเมื่อ​ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมาถึงมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ได้มี พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรค พปชร.​ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน  พร้อมด้วย​ ส.ส.ของพรรค พปชร. ประมาณ 60 คน รออยู่​ โดยมีการสั่งให้ ส.ส.ทุกคนที่เดินทางมา เก็บโทรศัพท์มือถือทั้งหมด

ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส ได้ยกมือไหว้ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมระบุว่า “ถ้าทำอะไรให้ท่านไม่สบายใจผมขอโทษ” ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ยกมือรับไหว้ตามมารยาท โดย ร.อ.ธรรมนัส ยังได้ชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ข่าวที่ออกมาเป็นข่าวลือทั้งหมด นักข่าวไปเขียนกันเอง ตนไม่รู้เรื่อง เป็นเฟคนิวส์ พร้อมกับระบายว่า สิ่งที่เชิญท่านมา อยากขอความมั่นใจว่านายกฯ​ จะดูแลและจะทำงานร่วมกับพวกเรา ส.ส.และพรรค พปชร.อย่างไร ตนมาขอความมั่นใจ พล.อ.ประยุทธ์ จึงตอบกลับว่า มีอะไรที่เราต้องดูแลบ้าง ร.อ.ธรรมนัส เลยพูดว่า มีหลายเรื่อง ส.ส.ไม่สบายใจ ในฐานะเราเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล พรรคอื่นขออะไรก็ได้ แต่พวกเราไม่ได้อะไรเลย พล.อ.ประยุทธ์ จึงตอบ ร.อ.ธรรมนัส ว่า ถ้าโครงการต่างๆ มันถูกกฎหมายก็เขียนมาสิ

ร.อ.ธรรมนัส ได้พูดกับ พล.อ.ประยุทธ์อีกว่า ท่านไม่เคยมาดูแล ไม่ได้เจอ ส.ส.ในพรรคเลย ส.ส.หลายคนก็ไม่เคยได้รู้จักกับท่านเลย พล.อ.ประยุทธ์ เลยตอบกลับไปว่า “ถ้าเป็นปัญหาแบบนี้  เราก็จะไปปรับตัวดู” ร.อ.ธรรมนัส เลยกล่าวว่า “อะไรที่ผิดพลาดไปผมก็ต้องขออภัย แต่สิ่งที่ผมพูดไป พูดไปในฐานะเลขาธิการพรรค ที่ต้องดูแลพรรค ดูแล ส.ส.” พร้อมกับ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยว่า ในการลงมติวันที่ 4 ก.ย. ท่านไม่ต้องห่วงหรอกครับ แต่รัฐมนตรีบางคนอาจจะไม่เท่าท่าน โดยนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. และประธานวิปรัฐบาล ได้กล่าวเสริมว่า ของท่านอันดับหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จึงบอกว่า  “ให้มันเท่าๆ กันดีกว่า”  อย่างไรก็ตาม มีช่วงหนึ่งที่ พล.อ.อนุพงษ์ พูดกับ ส.ส.ว่า อะไรที่ทำได้ก็จะทำ อะไรที่ผ่านมาก็อย่าไปคิด

 อย่างไรก็ตามในการพบ ส.ส.ครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร และ​ พล.อ.ประยุทธ์ ได้โชว์ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของ 3 ป. โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปกอด พล.อ.ประวิตร พร้อมสลับพูดรับส่งกันอย่างอารมณ์ดีว่า “ถ้า 3 คน อยู่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าไปก็ต้องไปด้วยกัน ยังมีเรื่องราวของทั้ง 3 คนที่คนอื่นไม่รู้อีกเยอะ” 

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำด้วยว่า “ถ้าอยู่เราต้องอยู่กัน 3 คน” ก่อนหันไปกระเซ้า พล.อ.ประวิตร ว่า “ท่านอยากเป็นนายกฯ​ หรือ” พล.อ.ประวิตร จึงกล่าวตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “จะบ้าหรือ กูไม่เป็นหรอก มึงเป็นนั่นแหละ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่นาน พล.อ.ประวิตร เคยพูดกับ ร.อ.ธรรมนัส ที่เข้ารายงานสถานการณ์ต่างๆ ในพรรค ประโยคหนึ่งให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องว่า “มึงจะให้กูทรยศน้องกูหรอ”

ทั้งนี้ แหล่งข่าวจาก พปชร. กล่าวว่า แม้จะเคลียร์ปัญหาภายในกันได้ก่อนลงวันมติในวันที่ 4 ก.ย. แต่ประเมินว่า น่าจะมี ร.อ.ธรรมนัส เอฟเฟกต์เกิดขึ้น เพราะถือว่า ครั้งนี้ค่อนข้างเคลื่อนไหวแรงมาก และมีเดิมพันสูง ยังคงมีความไม่พอใจนายกฯ​ ของ ส.ส.บางคนอยู่ จึงต้องจับตาผลการลงมติที่จะเป็นตัวสะท้อนความรู้สึกของบางคนในพรรค โดยคะแนนนายกฯ ควรจะต้องอยู่ระหว่าง 263–270 คะแนน หากต่ำกว่านี้ เป็นเรื่องใหญ่แน่