นั่งดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ไม่ได้นั่งดูตลอดเวลา เพราะคาดอยู่แล้วว่า “ผล” ที่ออกมา คือยังไงก็ไว้วางใจให้ “บิ๊กตู่” กับ “5 รัฐมนตรี” ได้ไปต่อ

…ได้ไปต่อท่ามกลางซากศพผู้เสียชีวิตจากวิกฤติโควิด-19 และความเสียหายย่อยยับทางเศรษฐกิจ กับหนี้เงินกู้ก้อนโตที่ผูกติดหลังเป็นภาระของคนในชาติและของลูกหลานในอนาคต อันมาจากผลงานการบริหารประเทศอย่างล้มเหลวไม่มีชิ้นดี ที่ไม่รู้ต้องตามใช้กันไปอีกกี่ร้อยปีถึงจะหมด

แม้ระหว่างศึกซักฟอก จะมีฉากละครน้ำเน่า ในเกมโหวตล้ม “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาคั่นรายการ กับข้อสงสัยเรื่องเกมแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรีและผลประโยชน์ ที่สุดท้าย “สื่อ” ก็รับบทเป็น “กระโถน” ในเรื่องนี้ไป ทั้งที่ความจริง เข้าทำนองถ้าไม่มีมูล….คงไม่ขี้ สื่อยุคก่อนว่าอยู่ยากแล้ว แต่สื่อยุคนี้ยิ่งอยู่ยากหนักเข้าไปอีก เรื่องปล่อยข่าวหาประโยชน์มีทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละ

บอกตามตรง ไม่ได้สนใจคะแนนที่ออกมาจะเป็นยังไง นักวิเคราะห์-นักวิชาการ คงว่ากันไปตามมุมมอง ตรงไปตรงมาบ้าง มีอคติบ้าง เลือกข้างบ้าง ก็แล้วแต่ใครเชียร์ฝ่ายไหน แค่เอ่ยชื่อบางที่ก็รู้แล้วว่า “ยืนอยู่ข้างไหน” วันนี้แทบไม่มี “คนไม่เลือกข้าง” เหลืออยู่แล้วในทุกแวดวง แม้กระทั่งสื่อก็ถูกประทับตราว่าเลือกข้าง

ผลคะแนนที่ออกมา ก็คงเห็นกันไปแล้ว

1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้คะแนนไว้วางใจ 264 ไม่ไว้วางใจ 208 และงดออกเสียง 3 

2.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ได้คะแนนไว้วางใจ 269 ไม่ไว้วางใจ 196 และงดออกเสียง 11

3.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ได้คะแนนไว้วางใจ 263 ไม่ไว้วางใจ 201 และงดออกเสียง 10 

4.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้คะแนนไว้วางใจ 269 ไม่ไว้วางใจ 195 และงดออกเสียง 10 

5.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้คะแนนไว้วางใจ 270 ไม่ไว้วางใจ 199 และงดออกเสียง 8 

6.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้คะแนนไว้วางใจ 267 ไม่ไว้วางใจ 202 และงดออกเสียง 9  

“คนเถรตรง” ไม่เสียเวลาไปนั่งวิเคราะห์ด้วยหรอกว่า ที่ “บิ๊กตู่” ได้คะแนนรองบ๊วยเพราะอะไร ทำไม ส.ส.งดออกเสียงให้ “เสี่ยหนู-อนุทิน” เยอะกว่าเพื่อน ส.ส.พรรคฝ่ายค้านคนไหนเป็น “งูเห่า” และ ส.ส.ซีกรัฐบาลคนไหน “แหกคอก” เพราะสุดท้ายภาพใหญ่ก็อย่างที่ว่าคือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯ คนดีคนเดิมที่อยู่มา 7 ปีกว่าได้ไปต่อ พวกพ้องรัฐมนตรีได้ไปไปต่อ

คำถามสำคัญที่สุดคือ ประเทศชาติได้อะไร และจะเป็นยังไงต่อไป? นี่ต่างหากคือสิ่งที่ “คนเถรตรง” และประชาชนอีกจำนวนมากกำลังครุ่นคิด อนาคตประเทศไทยในอุ้งมือ “บิ๊กตู่” และ “พวกพ้อง” ในยุค “3 ป.” จะเป็นยังไงต่อไป?

ภาพการเมืองหลังรัฐประหารปี 57 ที่เราเห็นและคาดหวังไว้สูง ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เราจะได้ลิ้มรสความยุติธรรมความเท่าเทียม และการเมืองจะดีขึ้นตามคำมั่นสัญญากับน้ำลายแตกฟองเรื่อง “ปฏิรูป” ..ทั้งหมดเป็นแค่ “ฝันกลางวัน” ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริงในประเทศไทยที่เหมือนต้องคำสาป

เมื่อถึงเวลาสุกงอม ทหารก็ถือปืนออกมายึดอำนาจรัฐบาล ด้วยสารพัดข้อกล่าวหาเดิมๆ บ้าง บวกกับข้อหาใหม่บ้าง โดยมีเนติบริกรคอยกรุยทางรับใช้ แล้วก็กุมอำนาจในฐานะ “รัฏฐาธิปัตย์” ที่ไม่มีองค์กรใดในประเทศนี้กล้าบอกว่า “ผิด” จะต่างกันก็แค่ผู้กุมอำนาจในฐานะ “รัฏฐาธิปัตย์” นั้น เลือกที่จะ “อยู่ต่อ” หรือ “ปล่อยมือ”

“พล.อ.ประยุทธ์” เลือกที่จะ “อยู่ต่อ” ภายใต้กลไกกติกาที่เขียนขึ้นมาเพื่ออุ้มสม ตีตราจองให้อยู่บนเก้าอี้ “ผู้นำประเทศ” ได้อย่างยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนวันนี้กลายเป็น “นักการเมือง” เต็มตัว แต่ไม่อยากโดดลงสนามไปเป็น “หัวหน้าพรรค” เลือกยืนอยู่บนภูแบบไม่ยอมลงไปแปดเปื้อน ทั้งที่วันนี้โคลนกระเด็นเปรอะเต็มตัวไปหมดแล้ว

สิ่งที่พรรคฝ่ายค้านชำแหละในสภา หลายอย่างรัฐบาลชี้แจงได้ อย่างเรื่องราคาสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคที่ถูกกล่าวหาว่ามีเงินทอน “คุณอนุทิน” รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ชี้แจงมีเหตุผลฟังได้ แต่กับเรื่องวัคซีนเต็มแขนคนไทย ใครจะมองว่าทำได้ตามที่ให้คำมั่นไว้ ก็ว่ากันไป แต่ส่วนตัวมองตรงข้ามว่า “แถ” มากกว่า

แต่ก็มีหลายเรื่องที่ฟังแล้วน่าตกใจ อย่างประเด็นสัญญาวัคซีนแอสตราฯ กับข้อกล่าวหา “ล็อกม้าตัวเดียว” ไม่ใช่ “แทงม้าตัวเดียว” อีกต่อไปแล้ว ของคุณพิธา ลิ้มเจิรญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ใครพลาดลองไปฟังย้อนหลังในยูทูบ หรือสื่อโซเชียลได้ ว่าสัญญาเป็นแบบไหนอย่างไร

ส่วน ส.ส.องครักษ์พิทักษ์นายตัวเอง ก็อาศัยข้อบังคับตีรวนขัดจังหวะ ตัดเกมไปเรื่อย ทำไปเถอะครับตามสบาย แล้วไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมเยาวชนของชาติในวันนี้ ถึงได้ขยะแขยงการเมืองไทย แล้วคอย “ถอนหงอกผู้ใหญ่” หลายคนอยู่เรื่อยๆ

“คนเถรตรง” นั่งฟังท่านนายกฯ ชี้แจง ใครจะว่าโอเคก็เชิญ แต่ส่วนตัวบอกเลย “มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ” มีแต่ “นามธรรม” รักชาติ รักประชาชน เป็นคนดี สวดมนต์ทุกวัน ไม่ทำอะไรผิด มากกว่า “รูปธรรม” แล้วก็สวนกลับฝ่ายค้านเป็นช่วงๆ อย่างที่สวน หมอชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย เรื่องพูดคำหยาบ ว่าครูบาอาจารย์สอนให้พูดจาสุภาพเรียบร้อย ไม่พูดคำหยาบ ไม่เหยียดหยาม ไม่ดูถูกคน ฯลฯ

อยากแนะนำว่า ถ้าท่านนายกฯ พอจะมีเวลาว่างอยู่บ้าง ลองให้ใครช่วยเปิดยูทูบย้อนหลังให้ดูหน่อยก็ดี ว่าใครบ้างที่เคยมีพฤติกรรมแบบที่ท่านนายกฯ รับไม่ได้

บทสรุปที่เห็นได้ชัดเจนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ คือ “ความสามัคคี” จากภาพรวมผลคะแนนที่ออกมาของพรรคร่วมรัฐบาล ที่ยังคงพร้อมเป็น “นั่งร้าน” ให้ “พล.อ.ประยุทธ์” แต่จะเป็นความสามัคคีบนพื้นฐานของ “หลักการ-เหตุผล” หรือ “ผลประโยชน์” และน่าชื่นชม หรือน่าอดสูเศร้าใจสำหรับประชาชนคนไทย คงอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน

และสิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้นคือ ประชาชนคนไทยยังต้องก้มหน้ารับสภาพ ต้องนั่งอยู่บนเรือแป๊ะผุๆ แบบจำใจ โดยมีกัปตันชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต่อไป

วันนี้ไม่ว่าโลกจะหมุนไปเร็วแค่ไหน เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ประเทศไทยก็เปลี่ยนไม่ได้จริงๆ “บิ๊กตู่” ในฐานะผู้นำกองทัพในวันยึดอำนาจที่ดูขึงขังอยากจะเข้ามาพลิกโฉมประเทศและเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย วันนี้กลับถูกระบบกลืนกิน ผลักเข้ามาอยู่ในวงจรเดิมๆ ที่ยังคงหมุนวนไปเรื่อยๆ สวนกระแสท้าทายกาลเวลา โดยไม่รู้ว่าสุดท้ายปลายทางจะนำพาประเทศไปสู่ “หุบเหว” หรือไม่ แต่ถ้ามองแค่ ณ วันนี้กับเวลา 7 ปีกว่า และสิ่งที่มองเห็นในสภาอันทรงเกียรติ บางที “คำตอบ” ที่ได้ อาจปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้วก็เป็นได้.

คนเถรตรง