ก่อนจะเกิดวิวาทะระหว่างพรรคก้าวไกล และเพื่อไทย ตามมารัวๆ โดยเฉพาะในเรื่องเนื้อหา MOU ทั้งที่ถูกสอดไส้เข้าไปใหม่และหั่นออก ในประเด็นมาตรา 112 และ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนมีการซัดกันไปมาระหว่างแฟนคลับของก้าวไกลและเพื่อไทยทั้งในออฟไลน์และออนไลน์ โดยมี เสี่ยแม้ว” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาคอยผสมโรงผ่านโซเชียลด้วย

ถึงขนาดมีการนัดหมายมาชุมนุมของ กลุ่มคนเสื้อแดงและ FC พรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล แต่ยังสนับสนุนให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคอันดับหนึ่งก่อนตามมารยาท ถ้าพรรคอันดับหนึ่งไม่สามารถรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้ก็ให้พรรคเพื่อไทยที่มีเสียงเป็นอันดับ 2 รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

อย่างไรก็ตาม รอยร้าวที่เด่นชัดที่สุดในช่วงเวลานี้คือตำแหน่ง ประธานสภา” ซึ่งทั้งก้าวไกล และเพื่อไทย ต้องการได้มาครอบครอง พร้อมกับการรุมถล่มจากแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่า ก้าวไกลกินรวบไม่แบ่งเพื่อน ทั้งที่ผลคะแนนเลือกตั้งทิ้งห่างกันแค่ 10 เสียงเท่านั้น

ขณะที่ พรรคเพื่อไทย ชัดเจนว่าต้องการเก้าอี้ประธานสภา ให้กับ หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเมื่อเปิดชื่อออกมาก็เรียกได้ว่าสังคมบางส่วนเห็นด้วยในเรื่องความอาวุโสและประสบการณ์ที่ผ่านสภามาหลายสมัยพอสมควร

ฟาก “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล คีย์แมนคนสำคัญในการเดินเกมจัดตั้งรัฐบาลระบุในทำนองว่า ช่วงนี้ได้พูดคุยกับพรรคเพื่อไทยแล้วว่าจะมีการดาวน์เรื่องประธานสภาลง คงไม่พูดคุยผ่านสื่อแล้ว คุยกันเป็นการภายในดีกว่า เดี๋ยวจะเสียงานใหญ่ พร้อมกับที่ฝั่งก้าวไกลยังอุบเงียบว่าวางตัวใครเป็นประธานสภา จะพอฟัดพอเหวี่ยงกับเพื่อไทยให้สังคมได้ตัดสินได้หรือไม่

ประเด็นนี้นำไปสู่การนัดประชุมพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลทั้ง 8 พรรค ในวันที่ 30 พ.ค. มีพรรคประชาชาติเป็นเจ้าภาพ ซึ่งต้องจับตากันว่าจะมีการเคลียร์ตำแหน่งประธานสภา รวมถึงเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงอื่นๆ กันอย่างไร ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคก้าวไกลยอมแลกเก้าอี้รัฐมนตรีในโควตาเดิมที่จับจองไว้เพื่อแลกกับตำแหน่งประธานสภานี้

ท่าทีของพรรคก้าวไกลในโมงยามนี้ ดูเหมือนจะแตกต่างจากความมั่นใจในช่วงเวลาของการเป็นฝ่ายค้าน หรือช่วงการหาเสียง ซึ่งทั้ง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแกนนำคนอื่นๆ ต่างย้ำมาตลอดว่าจะทำการเมืองใหม่ให้มีความชัดเจน โปร่งใส เจรจากันบนโต๊ะเท่านั้น ไม่มีการต่อรองเหมือนการเมืองเก่าแบบบ้านใหญ่

สุดท้ายจึงไม่แน่ใจว่า MOU บนโต๊ะเจรจาจะเป็นเพียงแค่ฉากละครการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ความหวังกับประชาชน แต่พื้นที่ทางการเมืองยังเป็นเรื่องดำมืดของเกมการต่อรองอำนาจต่อไปหรือไม่.