เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านว่า ตนไม่ทราบ แต่ได้อ่านจากข่าวเท่านั้น อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องดี เป็นการเตรียมตัว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีเสียงวิจารณ์ว่าการตั้งคณะกรรมการดังกล่าว เพื่อแทรกแซงการทำงานบางส่วนของข้าราชการ นายวิษณุ กล่าวว่า เขาไม่ได้บอกว่าตั้งคณะกรรมการนั้นเพื่อการแทรกแซง แต่เพื่อทำอะไรหลายอย่าง ส่วนการที่เขาจะขอความร่วมมือจากข้าราชการประจำ ไปชี้แจงหรืออะไรนั้น ทำได้ ถือเป็นการทำโดยสันถวไมตรีอันดีงาม เพราะในอดีตมีการเคยทำ แต่ช่วยทำให้แนบเนียน มิฉะนั้นข้าราชการประจำจะลำบากใจ เพราะข้าราชการประจำยังทำงานอยู่กับรัฐบาลนี้ และที่สำคัญ เขายังไม่รู้ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ซึ่งไม่เหมือนในอดีต กรณีพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล 300 กว่าเสียง ซึ่งมีความชัดเจนแล้ว แม้ในตอนนั้นยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี แต่มีการไปขอข้อมูลตัวเลขต่างๆ และขอความร่วมมือจากข้าราชการประจำ ซึ่งทำนิ่งๆ เนียนๆ ก็ไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่า ข้าราชการที่ไปให้ข้อมูล ถือว่ามีความผิดหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ผิด แต่เขาอาจอึดอัดใจ ลำบากใจ และอยู่ที่ว่าขอข้อมูลอะไร
“เราอยากเห็นคนเป็นรัฐบาลที่พร้อม เพราะฉะนั้นอะไรที่เอื้อเฟื้อกันได้ก็ทำไป แต่ให้ทำเงียบๆ เนียนๆ อย่าอึกทึกครึกโครม หรือแสดงให้เห็นว่าฉันจะเป็นรัฐบาลแน่ๆ แล้วนะ อย่างนี้มันไม่ควร เพราะยังไม่ได้เป็น อย่าทำให้ฝ่ายข้าราชการประจำอึดอึดหรือลำบากใจ เพราะเขายังมีนายอยู่ ยังมีผู้บังคับบัญชาอยู่ในปัจจุบันที่มีอำนาจเต็มตามกฎหมาย เดี๋ยวถ้าเกิดเขม่นกันขึ้นมา จะลำบาก และอยู่ที่ฝ่ายข้าราชการประจำที่ไปให้ข้อมูลด้วย อย่างในสมัยที่ผมเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก็เคยถูกว่าที่นายกฯ เรียกไปถามว่ามีงานอะไรที่ค้างอยู่บ้างที่อยากให้สานต่อ ซึ่งไม่มีคนรู้ว่าตอนนั้นมีการไป ผมเพิ่งมาเปิดเผยวันนี้นี่แหละ ทั้งที่ผ่านมา 15 ปีแล้ว” นายวิษณุ กล่าวและว่า แต่ข้อมูลที่เป็นความลับทางราชการนั้น เขาให้ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะแม้แต่ให้กันเองในหมู่ราชการ บางครั้งก็ให้ไม่ได้ ให้นายกฯ ได้แค่คนเดียว เช่น เรื่องงบลับ
เมื่อถามว่าถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองผลการเลือกตั้งได้เร็วขึ้น แล้วการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และโหวตนายกฯ จะทำได้เร็วขึ้นหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าเร็วอยู่แล้ว เลื่อนเร็วได้ แต่จะเร็วได้สักกี่วันตนไม่ทราบ เพราะไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ นั่นคือการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดประชุมสภา และตามมาด้วยการเลือกประธานสภาฯ และการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภาฯ ดังนั้น ที่ตนเคยกำหนดไทม์ไลน์ไปนั้นไม่ได้กำหนดตายตัว เพราะหากตีความไม่ดีจะกลายเป็นว่าตนไปบังคับ กำหนด กะเกณฑ์
นอกจากนี้ นายวิษณุ ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ครั้งที่ 1/2566 ว่า เมื่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มีใช้บังคับตามที่ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าไม่ต้องออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เลื่อนบังคับใช้ ซึ่งต้องใช้บังคับ แม้จะช้าไป 3 เดือน แต่ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดซื้อกล้อง อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ แล้ว หลังจากได้งบประมาณ จึงปัญหาไม่มีอะไรมาก
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า เมื่อกฎหมายกำหนดให้มีคณะกรรมการระดับชาติ ซึ่งมีตนเป็นประธาน และมีผู้บัญชาการเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ เป็นกรรมการ จึงได้เวลาที่จะต้องประชุมเพื่อวางแผนว่าจะต้องทำงานอย่างไร อาทิ กฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบันทึกภาพที่ในกฎหมายกำหนดว่าจะต้องมีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวและวิดีโอ ขณะจับกุม โดยระบุว่าจะต้องถ่ายใน 3 จุดด้วยกัน ได้แก่ 1.ขณะเข้าจับกุมต้องมีอยู่ในมือผู้จับหรือตำรวจ 2.มีติดอยู่ในรถที่ใช้ในการจับกุม และ 3.ที่สถานีตำรวจ โดยถ่ายเมื่อนำผู้ต้องหามาสอบสวนที่สถานีตำรวจ จากนั้นทั้งหมดจะเก็บไว้ในคลังกลาง และเก็บไว้ให้ถึงเวลาจบคดี ซึ่งปัญหาอาจจะมีว่าเก็บไว้ที่ไหน ใครเป็นคนเก็บ เพราะถ้าแต่ละหน่วยงานต่างคนต่างสร้างเครื่องมือเก็บคงจะสิ้นเปลือง จึงต้องหาวิธีส่งไปเก็บไว้ที่คลังกลาง และต่อไปใครจะใช้ ก็ไปดึงมาใช้ ถือเป็นรายละเอียดที่จะต้องประชุมกัน โดยแต่ละหน่วยงานสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่กฎหมายที่รัฐบาลเสนอไม่ผ่าน ทำให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า หากไม่มีการยุบสภาก่อน ก็จะมีผลกระทบ เพราะเมื่อออก พ.ร.ก.แล้วไม่ผ่าน รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าไม่ผ่านโดยศาลรัฐธรรมนูญมีความแตกต่างกัน เวลารัฐบาลเสนอกฎหมายไปที่สภาผู้แทนราษฎร แล้วสภาฯไม่ผ่าน แปลว่าสภาฯไม่ให้ความไว้วางใจ แต่การส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วศาลไม่ให้ผ่าน ไม่ได้แสดงว่าศาลฯไม่ไว้วางใจ แต่แสดงว่ามันไม่ถูก จึงมีความแตกต่างกัน มีนัยที่แตกต่างกัน เคยมีกรณีทำนองนี้มาก่อน เหมือนในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เคยออก พ.ร.ก.ส่งไปสภาฯ แล้วสภาไม่ผ่าน นายกฯ จึงเลือกยุบสภา ซึ่งเป็นการที่รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบโดยยุบสภา หรือลาออก แต่วันนี้รัฐบาลได้ยุบสภาแล้ว จะมาลาออกซ้ำอีกก็ไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นไปนั้นต้องรักษาการ
เมื่อถามว่าหากมีคนไปร้องเอาผิดกับรัฐบาลชุดนี้จะทำอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร เชิญ ทำได้ และยังไม่รู้ว่าจะเอาผิดข้ออะไร มาตราไหน”