เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่โรงแรมอีโค่อินน์ ถนนห้วยยอด ต.นาตาล่วง อ.เมืองตรัง จ.ตรัง นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง พร้อมด้วย นายยุทธนา วิมลเมือง เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตชำนาญการพิเศษ ป.ป.ช.ตรัง และเจ้าหน้าที่ ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ถึงผลของการพิพากษาตัดสินคดี ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 9 ภายหลังจากทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดไปก่อนหน้านี้แล้ว

คดีที่ 1 ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูล นายวีระชัย รุณแสง หรือ “นายกหมุน” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเขาขาว กรณีจัดจ้างโครงการขุดลอกคลองส่งน้ำ จำนวน 3 โครงการ ว่า การกระทำของ นายวีระชัย รุณแสง มีมูลความผิดทางอาญาในฐานะเป็น เจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหาย แก่รัฐ หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมีมูลความผิดฐานกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและสวัสดิการของประชาชน นั้น
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานไปบ้างแล้วเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ภายหลัง นายวีระชัย ได้ขอประกันตัวสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์

คดีที่ 2 ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูล นายธวัช อภิลักษ์นุกูล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก องค์การบริหารส่วนตำบลนาเกลือ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง กับ นางศศิธร แสงรัตน์ รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลนาเกลือ กรณีจัดงานโครงการแข่งขันมหกรรมกีฬาท้องถิ่น “พระยารัษฎาเกมส์” ครั้งที่ 11 วงเงิน 1,800,00 บาท โดยอนุมัติสั่งจ่ายเช็คไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทํา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 นั้น
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 9 พิพากษาว่า จำคุกจำเลยทั้ง 2 คนละ 15 ปี 8 เดือน และปรับคนละ 133,333.34 บาท ไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ทั้งเมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์และสภาพความผิดกับความเดือดร้อนที่จำเลยทั้งสองได้รับจากการถูกลงโทษทางวินัยแล้ว โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

คดีที่ 3 ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายอุทัย โชติช่วง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปากคม กรณีจัดทำโครงการปรับปรุงคูระบายน้ำ และผิวทางชำรุด โดยอ้างประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินที่เกิดจากอุทกภัย โดยไม่ได้ขออนุมัติจากสภาองค์การบริหารส่วนตำบลปากคม และได้อนุมัติให้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษโดยไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และนายอุทัยได้คัดเลือกผู้รับจ้างให้มาเสนอราคาด้วยตนเองโดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายนั้น
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก กระทงละ 2 ปี 6 เดือน ปรับกระทงละ 5,000 บาท รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี 12 เดือน ปรับ 10,000 บาท ไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยต้องโทษมาก่อน และปัจจุบันป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ และได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ อบต. เป็นเงิน 50,000 บาทแล้ว โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมตกเป็นพับ.
