โดยมีหน้าที่หลัก 7 ข้อ ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2563 ดังนี้ 1. เป็นประธานของที่ประชุมรัฐสภา และต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ 2. กำหนดการประชุมรัฐสภา 3. ควบคุม และดำเนินกิจการของรัฐสภา 4. รักษาความสงบเรียบร้อยในที่ประชุมรัฐสภาตลอดถึงบริเวณรัฐสภา 5. เป็นผู้แทนรัฐสภาในกิจการภายนอก 6. แต่งตั้งกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อกิจการของสภา 7. หน้าที่ และอำนาจอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ

ดังนั้น ตำแหน่งประธานสภา จะเป็นผู้พิจารณาคุมเกมต่างในสภา โดยการอภิปราย และจำกัดการอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในสภา รวมไปถึงผู้ดำเนินการประชุมจัดวางการอภิปรายในเรื่องต่างๆ ตามวาระที่ประชุม ที่เป็นข้อถกเถียงกันระหว่างพรรครัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ, การอภิปรายข้อบังคับใช้ และยกเลิกกฎหมาย, การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณประจำปี ฯลฯ 

โดยหมุดหมายแรกจะต้องคุมเกมการโหวตส่ง “พ่อทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีก่อน เพราะถ้ายอมให้พรรคเพื่อไทย เกมอาจเปลี่ยนไปจนคุมอะไรไม่ได้ ท้ายที่สุดจะถูกดีดส่งไปอยู่ฝ่ายค้าน ทุกอย่างที่วางไว้ จะกลายเป็นฝันสลายไปให้พริบตา

ทำให้พรรคก้าวไกลต้องกอดเอาเก้าอี้ประธานสภาเอาไว้ก่อน หวังเป็นกลไกคุมเกมในสภาที่จะนำมาใช้เป็นกุญแจเปิดประตูเข้าไปรื้อและผลักดันการแก้กฎหมายต่างๆ เพื่อเปลี่ยนประเทศตามที่ได้ปักหมุดในการหาเสียงเลือกตั้งเอาไว้ เพราะสุดท้ายปลายทาง เพราะ “พิธา” มีสารพัดเรื่องที่รออยู่ แถมยังถูกป้ายสีให้เกิดมีตำหนิ ซึ่งจะส่งผลให้ไปติดด่าน ส.ว. ทำให้ “พิธา” ไปไม่ถึงนายกรัฐมนตรี เพราะเสียงไม่ถึง 376 เสียง

แต่ ส.ส. ในพรรค เพื่อไทย ต่างก็กดดันไปที่แกนนำพรรคและกรรมการบริหารพรรค ตำแหน่งประธานสภาจะต้องเป็นของพรรคเพื่อไทย เพราะในเมื่อพรรคก้าวไกล ได้ประมุขฝ่ายบริหารไป ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติก็ควรจะเป็นของพรรคเพื่อไทย ตามสูตรที่เคยตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก 14+1 เพราะเสียง ส.ส. ที่ได้มาของพรรคเพื่อไทย 141 เสียง ขณะที่พรรคก้าวไกลได้ ส.ส. 151 เสียงห่างกันแค่ 10 เสียงเท่านั้น จะมากินรวบไม่ได้ ในเมื่อยังตกลงกันไม่ได้เช่นนี้ พรรคก้าวไกลจึงชิงจังหวะเปิดเกมหงายไพ่ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก วัย 41 ปี ขึ้นชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมล้มดีลกับพรรคเพื่อไทย เรื่องตำแหน่งประธานสภาในวันที่ 29 มิ.ย. หลังพรรคเพื่อไทยออกมาแถลงเสียงแข็ง ยืนยันจะขอตำแหน่งประธานสภา และไม่หารืออะไรอีกทั้งสิ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้

สุดท้ายก็มีการเจรจา ต่อรองกันทางลับระหว่างแกนนำของทั้ง 2 ฝ่าย จนในที่สุดก็ตกลงกันได้ ยุติแล้ว โดยพรรคเพื่อไทยยอมถอย ยกตำแหน่งประธานสภาให้พรรคก้าวไกล ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ทั้ง 8 พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม จะชู “พ่อทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ขึ้นนายกฯ แต่ถ้า “พิธา” ไม่สามารถฝ่าด่าน ส.ว. ได้ พรรคเพื่อไทย จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคก้าวไกลจะอยู่ช่วยพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่แยกตัวออกไปไหน แผนนี้จะเป็นพันธนาการที่พรรคก้าวไกล จะจำยอมส่งคนของพรรคเพื่อไทยขึ้นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการมองข้ามชอตในการแลกสลับตำแหน่งคือพรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งประธานสภาไป ส่วนพรรคเพื่อไทยก็จะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จบที่สูตรเดิมคือ 14+1 ทั้ง 2 พรรค โดยการหารือกันจะชัดเจนอีกครั้ง ในช่วงเช้าวันที่ 2 ก.ค. 66

พรรคก้าวไกลก็ยังไม่ไว้ใจ ณ เวลานี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ อะไรก็เปลี่ยนได้จนกว่าจะถึงวันโหวตจริง จึงชิงจังหวะ จัดทัพด้วยการลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก พื้นที่ของ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เรียกกระแสด้อมส้มขึ้นมาเป็นแรงผลัก ส่งพรรคก้าวไกลสมปรารถนา และเป็นการส่งสัญญาณถึง พรรคเพื่อไทย ว่าเสียงประชาชนต้องการให้เราอยู่ด้วยกันไม่ไปไหน  

แต่พรรคเพื่อไทยก็ออกอาการไม่ได้แฮปปี้และอึดอัดกับการกระทำของพรรคก้าวไกล จะเห็นได้จากคำพูด ที่ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความเห็นว่า “เราถูกมัดด้วยอาณัติจากประชาชน แม้เราอยากออกไปก็ออกไปไม่ได้ ซึ่งเรามีสิทธิออกไปแต่ไม่ชอบธรรม เราถูกประชาชน 25 ล้านเสียงมัดเรากับก้าวไกลให้ติดกัน เหมือนถูกจับคลุมถุงชน ไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธ ในการเจรจาจึงต้องคำนึงถึงเจตจำนงของประชาชนเป็นสำคัญ”

คอการเมืองต่างก็รู้ดีว่า พรรคเพื่อไทยมาเกมเหนือชั้น เล่นหลายบท อีกทั้งการขยับจังหวะเดิน ทุกก้าวย่างมีนัยแฝงของการต่อรอง ดูมีดีลลับต่อยอดขยายผลเก้าอี้อื่นๆ ในอนาคต อีกทั้งตำแหน่งต่างๆ ผลประโยชน์พรรคต้องไม่เสีย เพราะพรรคเพื่อไทยรู้อยู่แล้วว่า ถึงอย่างไรการโหวตเลือกนายกฯ ของ “พิธา” จะต้องไปติดอยู่ที่ด่าน ส.ว. ดังนั้นก็ต้องมาดูว่า ในวันโหวตประธานสภา จะเป็นไปตามที่พรรคก้าวไกลวางไว้หรือไม่ จึงต้องจับตาเกมการเมืองต่อจากนี้ว่า จะมีการพลิกขั้วเกิดขึ้นหรือไม่

ท่ามกลางกระแสข่าวหนาหู ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 โดยมีพรรคร่วมรัฐบาลเดิมบางส่วนสนับสนุนบวกกับพรรคเพื่อไทย ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องยอมรับในสูตรนี้ ก็เพราะมีหลายปัจจัย โดยปัจจัยที่สำคัญครั้งนี้ คือ การที่ “ทักษิณ ชินวัตร” จะกลับบ้าน แต่การทำหน้าที่ของรัฐบาล อาจไปได้ไม่สุด เพราะเชื่อว่าด้อมส้มไม่ยอม ต้องออกมารุมประท้วงก่อม็อบจนทำงานไม่ได้ เหมือนตอนที่ม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลจน “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ไม่สามารถฝ่าด่านม็อบ พธม. เข้าไปทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาลได้ ภาพรวมไม่น่าจะเป็นผลดีกับประเทศ

แต่ถ้าตกลงกันได้ ก็จะกลายเป็น 8 พรรคร่วม ต้องไปฝ่าด่านหินอีกหลายโจทย์ ทั้งคดีการแบ่งแยกดินแดน ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) ดำเนินการแจ้งความเอาผิดทางกฎหมายต่อขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ พรรคการเมือง และนักการเมือง ภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการจัดเสวนา เรื่อง การกำหนดอนาคตตนเองในสันติภาพปาตานี และมีการจัดให้มีการจำลองการลงประชามติในการแบ่งแยกดินแดน โดยให้ผู้เข้าร่วมเสวนาลงประชามติเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ซึ่งจัดให้มีขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ที่ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

นอกจากนี้ยังมีคดีหุ้นสื่อไอทีวี ตอนนี้ยังไม่ได้สิ้นสุดที่ แต่ก็ถือได้ว่า ถูกป้ายสีทำให้ “พิธา” แคนดิเดต นายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล มีตำหนิไปแล้ว มิหนำซ้ำยังมีบรรดาเหล่า ส.ว. ที่ต้องร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี นำโดย ส.ว. ตัวดึง “เสรี สุวรรณภานนท์” รองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมือง วุฒิสภา (ส.ว.)ไปเข้าหารือกับ “อิทธิพร บุญประคอง” ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมคณะ กกต. โดยได้มีการมอบหลักฐานการถือครองหุ้นสื่อไอทีวีของ “พิธา” ให้ กกต. พิจารณาด้วย

วิบากกรรมยังไม่หมดเท่านั้น ยังมีประเด็นร้อนที่สำคัญ คือ การแก้กฎหมาย มาตรา 112 ที่ “พิธา” และพรรคก้าวไกล ใช้เป็นแคมเปญหาเสียง ถ้าได้เข้ามาเป็นรัฐบาลจะแก้กฎหมายในมาตรานี้ โดย ธีรยุทธ สุวรรณเกสร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ส่งผลถึงการยุบพรรคได้

ดูตามไทม์ไลน์นับจากนี้ วันที่ 3 ก.ค. เป็นรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก จากนั้นวันที่ 4 ก.ค. จะมีการประชุมนัดแรก เพื่อโหวตเลือกประธานสภา ถือเป็นไฮไลต์สำคัญที่จะชี้ให้เห็นว่า 8 พรรคร่วมจะไปต่อหรือพอแค่นี้ จะมีการสวิงขั้วไปจับกับกลุ่มขั้วอำนาจเดิม โดยมีเงื่อนไขไม่เอาลุงหรือไม่ ถ้าด่านนี้ผ่านแบบตามที่พรรคก้าวไกลได้วางไว้

ไทม์ไลน์ต่อไป คือ สถานีการโหวตในวันที่ 4 ก.ค. กำหนดให้ประชุม ส.ส. นัดแรก เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ “พิธา” ต้องไปฝ่าด่าน ส.ว. ถ้า “พิธา” ไม่ได้เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ก็จะไปตกอยู่ที่ “เศรษฐา ทวีสิน” หรือถ้ามีการพลิกขั้วอำนาจเก่ากลับขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องดูว่าคนที่ขึ้นมา ใครจะเป็นตาอยู่หยิบชิ้นปลามัน เก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปครอง.