เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถ.รัชดาภิเษก น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรม “หลักสูตรการฝึกอบรมการปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย” โดยการอบรมดังกล่าวจะมีขึ้นทั้งหมด 4 วัน ผู้เข้ารับการอบรมจะเป็นระดับผู้บริหารจากอัยการทั่วประเทศอาทิเช่น อธิบดีอัยการภาค 1-9 หรือระดับอัยการพิเศษฝ่าย เเละอัยการจังหวัดทั่วประเทศที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
โดย นายอิทธิพร รองอัยการสูงสุด ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการซ้อมทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯเป็นกฎหมายใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แนวทางที่เราจะกำหนดในการปฎิบัติตามกฏหมายฉบับนี้ก็คือ นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ในเรื่องของการควบคุม ด้วยผู้ถูกควบคุมแล้ว เราอยากจะเปิดโอกาสและกำหนดช่องทางในการรับแจ้งจากประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้พนักงานอัยการสามารถลงไปคุ้มครองการจับกุมบุคคลและควบคุมตัวบุคคลไม่ให้ถูกกระทำซ้อมทรมานหรือไม่ให้เกิดการอุ้มหายเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและเต็มที่ ป้องกันไม่ให้ประชาชนทุกคนได้รับความเดือดร้อน

“….เรื่องนี้ น.ส.นารี อัยการสูงสุด ได้กำหนดให้เป็นนโยบายอย่างชัดเจนแล้วว่า พนักงานอัยการจะต้องรับแจ้งจากประชาชนและพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบอย่างรวดเร็วและทันเวลา อันนี้คือหลักการที่เราจะสัมมนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งช่วงที่หลังกฎหมายบังคับใช้ ทางสำนักงานการสอบสวนก็ได้มีการเก็บสถิติคดีที่เราได้รับแจ้งไว้ รวมทั้งได้รับเรื่องร้องเรียน ซึ่งทางอธิบดีอัยการสำนักงานสอบสวน ก็เป็นผู้รวบรวมข้อมูลและสามารถให้ข้อมูลได้เป็นอย่างดี…” นายอิทธิพร กล่าว
เมื่อถามถึงเรื่องคดีที่มีการกล่าวหา จนท.ตำรวจรีดทรัพย์ผู้ต้องหา 140 ล้านบาท ซึ่งภายหลังกลุ่มตำรวจที่ตกเป็นผู้ต้องหามาร้อง อัยการสอบสวนว่า คดีที่โดนกล่าวหาเข้าข่ายความผิดตาม พรบ.อุ้มหายฯขั้นตอนต่อไปเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้ควบคุมการสอบสวนคดีนี้

นายกุลธนิต อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวว่า คดีนี้มีกลุ่มตำรวจซึ่งเป็นกลุ่มผู้ต้องหามาร้องว่าในพฤติการณ์กระทำความผิดนั้นที่พนักงานสอบสวนสอบสวนดำเนินคดีผู้กระทำความผิด มีลักษณะเข้าข่ายเป็นความผิดตามพรบ.ป้องกันและปราบปรามการซ้อมทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ซึ่งความผิดตามกฏหมายฉบับนี้ถ้าหากมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นมันจะมีผลทางกฎหมายคือจะทำให้เกิดหน่วยงานที่มีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ได้ที่กฎหมายกำหนดไว้มีอยู่ 4 หน่วยงาน 1.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2.กรมการปกครอง 3.กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ 4. สำนักงานอัยการสูงสุด
เมื่อถามต่อว่า กรณีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กฎหมายให้อำนาจไว้เห็นไม่ตรงกันใครจะเป็นผู้ชี้ขาดเรื่องพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ นายกุลธนิต กล่าวว่า เรื่องการชี้ขาดว่าใครจะเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ต้องรอการตรวจสอบรายละเอียด ถ้าเราตรวจสอบได้จากการที่มีการร้องเข้ามา ถ้าพฤติการณ์มันเข้าข่ายตาม พรบ.อุ้มหายฯพนักงานอัยการต้องแจ้งให้กับพนักงานสอบสวนทราบตอนนี้เรื่องอยู่ระหว่างรอตรวจสอบ

“…กรณีนี้เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้พนักงานสอบสวนทั้ง 4 หน่วยงานมีอำนาจสอบสวนมันจะเกิดการชี้ขาดขึ้นก็ต่อเมื่อการกรณีมีการมีหลายหน่วยงานสอบสวนพร้อมในคดีเดียวกัน ถ้ามีหลายหน่วยงานสอบแล้วมันจะต้องมีความจำเป็นที่จะต้องชี้ขาดเรื่องพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบอันนี้จะเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ชี้ขาดตามมาตรา 31…” นายกุลธนิต กล่าว.