เมื่อวันที่ 4 ก.ค. นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังที่ 2 พรรคใหญ่ไม่สามารถตกลงกันเรื่องประธานสภาได้ จนต้องมีประธานสภาคนกลางจากพรรคที่ 3 คือนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งสะท้อนว่ามีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องประธานสภาจากทั้ง 2 พรรคจริง และไม่ทราบว่าทำไมพรรคเพื่อไทยไม่อาจยอมรับประธานสภาจากพรรคก้าวไกลได้ และทำไมพรรคเพื่อไทยไม่เสนอประธานสภาจากพรรคตนเอง
การแถลงข่าวค่ำวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา สะท้อนปัญหาเชิงซ้อนทางการเมืองไทย พรรคก้าวไกลยอมรับประธานสภาคนกลาง เนื่องจากไม่อาจทัดทานการต่อรองของพรรคเพื่อไทยได้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ไม่อาจเสนอนายสุชาติ ตันเจริญ กลุ่มบ้านริมน้ำได้ เพราะคนรุ่นใหม่ในพรรคต่อต้าน เนื่องจากจะขัดแย้งกับมติประชาชน ซึ่งจะทำให้พรรคเสียหายร้ายแรง ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางการเมืองนี้ ทำให้นายภูมิธรรมต้องนำเสนอนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา แทน ซึ่งเป็นคนเก่าของพรรค ต่อรองได้
และการที่นายภูมิธรรม ชิงพูดก่อน นพ.ชลน่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 ก.ค. แสดงว่า รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนนี้ คือผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง ที่ประสานกับเลขาธิการพรรคก้าวไกล และต่อตรงกับผู้มีบารมีนอกพรรคได้ การที่พรรคเพื่อไทยมีหลายก๊ก หลายกลุ่ม หลายมุ้งทางการเมือง ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่มีเอกภาพ และการที่พรรคเพื่อไทยให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จากกลุ่มสามมิตร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มาร่วมแถลงข่าวด้วย ถือว่าไม่ให้เกียรติประชาชน เพราะประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยก็เพราะเป็นขั้วตรงข้ามความขัดแย้งกับ คสช. และเลือกพรรคก้าวไกลเพราะว่า ต้องการอนาคตใหม่ที่ก้าวข้ามความขัดแย้งแบบเก่า คืออยากก้าวข้าม พล.อ.ประยุทธ์ และนายทักษิณ แต่การเมืองก็ติดหล่มอำนาจเหมือนเดิม โดยเฉพาะหล่มอำนาจในรัฐธรรมนูญที่ออกแบบสืบทอดอำนาจไว้ให้ ส.ว. เป็นอำนาจที่ 3 ร่วมเลือกนายกฯ ด้วย
การสื่อสารทางการเมืองที่ไม่ชัดเจนของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมา น่าจะเพราะถูกแทรกแซงโดยกลุ่มอิทธิพลในพรรคที่เชื่อมประสานกับกลุ่มอำนาจในรัฐบาลเก่า โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตรและกลุ่มบ้านริมน้ำ ที่อาจพยายามจะเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาลใหม่ร่วมกับผู้มีบารมีในพรรค โดยการต่อรองด้วยผลประโยชน์มหาศาลและคดีความต่างๆ พร้อมบ่อนทำลายพรรคร่วมอย่างต่อเนื่อง แต่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและคณะคนรุ่นใหม่น่าจะไม่ยอม เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาทรยศประชาชน ความไม่เป็นเอกภาพนี้ อาจทำให้คนในพรรคเพื่อไทยจะไม่มีใครไว้ใจกันต่อไปในอนาคต
แม้ว่าวันนี้การต่อรองจะสงบลงแล้ว ตำแหน่งประธานสภา คือคนกลาง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ที่ทั้ง 2 พรรคใหญ่ต้องจำยอมถอยออกมาคนละก้าว โดยรองประธานสภา คนที่ 1 คือนายปดิพัทธ์ สันติภาดา พรรคก้าวไกล และรองประธานสภา คนที่ 2 นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน จากพรรคเพื่อไทยแทน
เหลือเพียงด่านต่อไปในสัปดาห์หน้า ที่การเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องฝ่าฟันให้ผ่านด่าน ส.ว. ตามกับดัก คสช. ซึ่งต้องเรียกร้องให้ ส.ว. โหวตตามมติประชาชน และไม่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา โดยต้องทำตามฉันทานุมัติของประชาชนและหลักการประชาธิปไตย โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามมติสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าติดกับดักอำนาจนี้ การเมืองไทยจะล้มเหลววกกลับการเมืองแบบเก่า แม้เราจะได้นายกฯ จากพรรคเพื่อไทยเป็นตาอยู่ในก๊อก 2 ก็ตาม
ถ้าผ่านไปได้ด้วยดี คงต้องลุ้น ครม. พิธา (1) ต่อไป ว่าจะมีหน้าตาอย่างไร จะบริหารบ้านเมืองได้แตกต่างรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แค่ไหน และแต่ละพรรคต้องตอบสังคมว่า รายชื่อรัฐมนตรีแต่ละคนนั้น มีความเหมาะสมกับภารกิจแต่ละกระทรวงอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดการเมืองแบบเก่า ที่แบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีตามกลุ่มนายทุนพรรคที่ออกเงิน.