เมื่อวันที่ 14 ก.ค. พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา ส.ว. และอดีตเลขาธิการ กกต. ซึ่งเป็น 1 ใน 13 ส.ว. ลงมติเห็นชอบให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นนายกรัฐมนตรี ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา กล่าวว่า ในการโหวตเห็นชอบของตนนั้น มีเหตุที่ใกล้เคียงกับนายพีระศักดิ์ พอจิต ส.ว. ซึ่งโหวตเห็นชอบ เพราะคิดถึงผลการเลือกตั้งและความคาดหวังของประชาชนเป็นหลัก
“ในฐานะอดีตเลขาฯ กกต. ผมเคยจัดเลือกตั้งมา หลักการเลือกตั้ง พรรคใดได้เสียงข้างมากมา ถ้าไม่เกินครึ่งก็จับขั้วกันได้ข้างมากสุด ต้องยอมรับหลัก คือเป็นการเคารพเสียงประชาชน” พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าว
สำหรับเรื่องการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลนั้น พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวว่า การโหวตเมื่อวันที่ 13 ก.ค. นั้น เป็นการพิจารณาผู้สมควรรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การพิจารณากฎหมาย แต่ก็มีการอภิปรายค่อนข้างละเอียด ขณะที่ในบันทึกความเข้าใจร่วมกันหรือ MOU ของ 8 พรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้กล่าวถึงการแก้ไข มาตรา 112 แต่อย่างใด ทั้งนี้ คำร้องเรื่องการแก้ไข มาตรา 112 นั้น มีผู้ร้องในช่วงหาเสียงของพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญได้นำเข้าสู่กระบวนการแล้ว อีกทั้ง การแก้ไขกฎหมายเป็นเรื่องพรรคต้องเสนอร่างแก้ไขเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่ในนามของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นคนละสนามกัน ซึ่งต้องเป็นไปตามกฎหมาย
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวว่า ตนเองไม่ได้มีความกังวลอะไรหลังออกเสียงเห็นชอบไป เพราะทั้งฝ่ายที่ไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง ก็มีความเห็นของตัวเอง ต่างคนต่างมีหลักการที่ตนเองเชื่อไปว่า ใครผิดใครถูกไม่ได้ และต้องเคารพความเห็นที่แตกต่างกัน.