วันที่ 1 ส.ค. นายจเด็จ อินสว่าง สว. กล่าวถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีวันที่ 4 ส.ค. ว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายสร้างสตอรี่ แทงข้างหลัง ถีบพรรคนั้น พรรคนี้ แต่ สว. มีหน้าที่ต้องโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยยึดหลักรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ที่ผู้ถูกเสนอชื่อต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ที่จะถูกเสนอชื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาเป็นผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 4 ส.ค. นั้น ยังมีข้อน่าสงสัยตามที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษี ถ้าเป็นเช่นนี้ สว. จะรับรองได้อย่างไร ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ได้เสียงข้างมากแล้ว สว. ต้องเลือก แต่ สว. ต้องเลือกนายกฯ ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ 

“การโหวตเลือกนายกฯ วันดังกล่าว ประธานรัฐสภาต้องให้นายเศรษฐาแสดงวิสัยทัศน์เพื่อให้สมาชิกรัฐสภามีโอกาสซักถาม จะให้ สว. เลือก โดยไม่แสดงวิสัยทัศน์ไม่ได้ ถ้านายเศรษฐาไม่แสดงวิสัยทัศน์ใดๆ สว. จะเป็นฝ่ายถามเองถึงแนวคิดการบริหารประเทศ ทั้งเรื่องการแก้ไข มาตรา112 เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อให้มีความชัดเจนประเด็นเหล่านี้ ก่อนตัดสินใจลงมติ เพราะ สว. มีหน้าที่ต้องเลือกคนดี ที่ไม่มีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา160” นายจเด็จ กล่าว

นายจเด็จ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวเชื่อว่า การโหวตนายกรัฐมนตรี วันที่ 4 ส.ค. ไม่น่าจะเป็นไปอย่างเรียบร้อย จะมีปัญหาถกเถียงพิจารณาเรื่องรัฐธรรมนูญ มาตรา160 หนักเข้าอาจต้องส่งไม้ต่อไปที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคอันดับ 3 ในที่สุดอาจนำไปสู่การโหวตนายกรัฐมนตรี ตาม มาตรา 272 วรรคสอง หรือนายกฯ คนนอก ขณะนี้พรรคก้าวไกลยังเกาะพรรคเพื่อไทยอยู่ แม้จะยอมไปเป็นฝ่ายค้าน แต่ก็จะโหวตให้พรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ ถ้าทำได้ก็ทำไปเลย แหกตา สว. ไม่เป็นไร แต่อย่าแหกตาประชาชน