เมื่อวันที่ 11 ก.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 33) ใจความสรุปว่า ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. พ.ศ.2563 และเพื่อบังคับใช้มาตรการตามข้อกำหนดที่ได้ประกาศไว้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลายตามคำแนะนำของ ศบค. ดังต่อไปนี้

(1) การกำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด, พื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม ตามบัญชีรายชื่อจังหวัดแนบท้ายคำสั่ง ศบค.ที่ 11/2564 ลงวันที่ 1 ส.ค. ยังคงบังคับใช้ต่อไป

(2) ขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เพื่อการควบคุมสถานกรณ์ของการระบาดให้อยู่ในวงจำกัดตามการประเมินของฝ่ายสาธารณสุข จึงให้บรรดามาตรการ ข้อห้าม ข้อยกเว้น และข้อปฏิบัติสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามที่กำหนดที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้า ได้แก่ การห้ามออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น, การห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค, การใช้เส้นทางคมนาคมเพื่อการเดินทางข้ามจังหวัด, การขนส่งสาธารณะ และการปฏิบัติงานนอกสถานที่ทำการของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและเอกชนอย่างเต็มความสามารถยังคงใช้บังคับต่อไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย.

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 10 ก.ย ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบคงพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 29 จังหวัด, พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) 37 จังหวัด และพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) 11 จังหวัดเช่นเดิม พร้อมให้คงมาตรการป้องกันโควิด-19 ตามข้อกำหนดฉบับที่ 32 ถึงวันที่ 30 ก.ย.และยังคงมาตรการเคอร์ฟิวเหมือนเดิมในเวลา 21.00-04.00 น.