เมื่อวันที่ 13 ก.ย. นายเกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ทวีตข้อความ ระบุว่า “ยาที่เยอรมนีบริจาคให้กับประเทศไทยสำหรับใช้ในการรักษาผู้ป่วย #COVID19 มาถึงแล้ว ในวันนี้ผมมารับโมโนโคลนอลแอนติบอดีมูลค่า 150 ล้านบาท ร่วมกับ @MFAThai, กรมควบคุมโรค #DDC  และ #RoyalThaiCustoms”

ซึ่งเป็นยา “โมโนโคลนอล แอนติบอดี” ที่ประเทศเยอรมนีได้บริจาคให้กับประเทศไทยใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดย นายเกออร์กได้เดินทางไปรับโมโนโคลนอล แอนติบอดี มูลค่า 150 ล้านบาท ร่วมกับกรมควบคุมโรค ในเช้าวันนี้

อย่างไรก็ตาม โมโนคอล แอนติบอดี้ คือ แอนติบอดีที่สร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ออกแบบมาให้มีความจำเพาะต่อความต้องการโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่ใช้รักษาโควิด-19 มีทั้งแบบผสมและไม่ผสม

ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุมัติการใช้ยาแอนติบอดีแบบผสมรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบบมีเงื่อนไขภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ โดยยาแอนติบอดีแบบผสม เป็นแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนอล 2 ชนิด คือ แอนติบอดีที่สกัดจากหนูซึ่งถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มีระบบภูมิคุ้มกันอย่างมนุษย์ และแอนติบอดีที่สกัดจากผู้ที่หายป่วยจากโรคโควิด-19

เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ไวรัสอ่อนกำลังลง และยับยั้งการติดเชื้อภายในร่างกายผู้ป่วยลงได้ ผลการวิจัยพบว่า ช่วยลดจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายของผู้ป่วย ลดระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาล และลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตได้ต้องให้เร็วตั้งแต่ระยะแรกในการป่วย ใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจะมีอาการรุนแรง ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน เป็นต้น

ยังไม่มีผลการศึกษาในมนุษย์ถึงการรักษาการติดเชื้อจากสายพันธุ์ต่าง ๆ เช่น เบตา แอลฟา แกมมา และเดลตา..

ขอบคุณข้อมูลและภาะประกอบ : Georg Schmidt, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย