เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับการประสานเพื่อขอความช่วยเหลือจาก นางจงจิต จูเล่งเส้ง ประธาน อพม.อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราชว่า พบครอบครัวผู้ยากไร้ ปลูกเพิงพักอาศัยอยู่บนที่ดินของเพื่อนบ้านริมถนนชายทะเลปากพนัง-หัวไทร ในท้องที่หมู 9 ต.ขนาบนาก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช โดยอาศัยอยู่ด้วยกัน 2 คนประกอบด้วย นายเจริญ ขำขาว อายุ 58 ปี ซึ่งป่วยหลายโรครุมเร้าโดยเฉพาะโรคหัวใจและเหน็บชาครึ่งตัวด้านขวา ไม่สามารถทำงานใด ๆ แค่ช่วยเหลือตัวเองและทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีรายได้ใด ๆ เลย และ น.ส.จุฑารัตน์ ขำขาว หรือ “น้องบีช” อายุ 16 ปี บุตรสาว นักเรียน ปวช. 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นเด็กยอดกตัญญูปรนนิบัติดูแลพ่ออย่างดี และขยันเล่าเรียนศึกษา โดยที่ผ่านมาทาง พม.และส่วนราชการยื่นมือช่วยต่อเนื่อง

นางจงจิต กล่าวด้วยว่า ขณะนี้กระท่อมหรือเพิงพักของสองพ่อลูกชำรุดทรุดโทรมอย่างหนัก ฝาผนังและหลังคามุงจากแทบจะไม่สามารถกันแดดกันฝนได้อีก จึงต้องใช้แผ่นยางดำพีอีเก่าๆ ที่ใช้ปูรองนากุ้งมาคลุมปิดทับหลังคาบ้านลงมาจนดูเหมือนบ้านถูกคลุมด้วยพลาสติกเกือบทั้งหลัง และในกระท่อมมีดวงไฟเล็ก ๆ ที่ขอต่อตรงมาจากบ้านเพื่อนบ้านเพียง 1 ดวงเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูมรสุมประจำปี 2566 ที่ตลอดแนวชายฝั่งจะประสบปัญหาคลื่นลมแรง เชื่อว่าหลังคาบ้านจะโดนลมพายุพัดถล่มจนหลังคาบ้านและบ้านจะได้รับความเสียบหายทั้งหลังคงไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไปหากไม่รีบเร่งช่วยเหลือในระยะนี้ และหากนายเจริญ ผู้เป็นพ่อของนัักเรียนสาว ที่อาการป่วย สุขภาพย่ำแย่เป็นอะไรไปน้องบีช จะต้องอยู่คนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องใด ๆ หากกระท่อมอยู่ในลักษณะแบบนี้น้องบีช จะอยู่ได้อย่างไร มันอันตรายมาก ๆ จึงอยากขอความเมตตาจากผู้ใจบุญให้ช่วยปรับปรุงซ่อมแซมเปลี่ยนหลังคาบ้านให้กับสองพ่อลูกด้วย

ผู้สื่อข่าวจึงพร้อมด้วย นายกิตติพงษ์ รองเดช นายอำเภอปากพนัง นายศิลา วัดล่อง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต.ขนาบนาก และเจ้าของที่ดินรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องราวมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จ พบว่าบ้านหรือกระท่อมผูกคลุมด้วยแผ่นยางดำ หรือยางพีอีนากุ้งทั้งหลัง โดยใช้ท่อนไม้ยาววางทับแผ่นยางดำที่คลุมหลังคาเพื่อป้องกันไม่ให้ลมพัดเอาแผ่นยางปลิวออกจากหลังคากระท่อม เจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าวต้องระมัดระวังเนื่องจากทุกส่วนแคร่หไม้ไผ่ของกระท่อมชำรุด ผุพัง พร้อมที่จะหักพังเสียหายตลอดเวลาคานไม้หลังคา หลังคา เสาบ้านและเกือบทุกส่วนถูกปลวกและมอดกัดกินจนบ้านจะพังแหล่มิพังแหล่ หากรื้อส่วนหลังคาออกเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเชื่อว่าบ้านจะพังเสียหายหมดทั้งหลังแน่นอน จึงต้องทำการก่อสร้างบ้านใหม่ทั้งหลังเท่านั้น
นายเจริญ ขำขาว กล่าวว่า อาศัยอยู่กับ “น้องบีช” บุตรสาว ส่วนแม่ของน้องบีช เสียชีวิตไปกว่า 12 ปีแล้ว ตามทะเบียนราษฏร์ตนอาศัยอยู่หมู่ 8 ต.ขนาบนาก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช หลังเมียเสียชีวิตประกอบกับกระท่อมหลังเก่าผุพัง เพื่อนบ้านที่คอยช่วยเหลือครอบครัวตนจึงมาช่วยกันสร้างวกระท่อมหลังนี้บนที่ดินของเพื่อนบ้าน แต่อยู่ในเขตพื้นที่หมู่ 9 ต.ขนาบนาก ให้ตนได้อยู่อาศัยกับน้องบีช บุตรสาว ที่ผ่านมาตนเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวทำงานก่อสร้างและเป็น รปภ.ให้กับบริษัทเลี้ยงกุ้ง แต่หลายปีที่ตนมีโรครุมเร้าหลายโรค โดยเฉพาะโรคหัวใจทำให้ตนล้มกันกระแทกพื้นอย่างแรงจนในปัจจุบันตนมีอาการเหน็บชาไปครึ่งตัวด้านขวา มือ เท้าด้านขวาไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ค่อยมีความรู้สึกจึงไม่สามารถทำงานหนักได้ แต่ยังช่วยเหลือตัวเองได้ เดินได้ ส่วนกระท่อมที่ผุพังเสียหายตนและเพื่อนบ้านก็พยายามนำเอาเศษไม้ แผ่นไวนิล แผ่นยางเก่า ๆ มาปิดบังในส่วนที่ชำรุดทรุดโทรม จนล่าสุดหลังคากระท่อมไม่สามารถกันแดด กันฝนได้ เพื่อนบ้านจึงนำแผ่นยางดำบาง ๆ ที่ใช้ปูนากุ้งมาช่วยปิดคลุมหลังคากระท่อมเพียงเพื่อไม่ให้ฝนรั่วเท่านั้น จนดูเหมือนกระท่อมตนถูกคลุมด้วยพลาสติกเกือบทั้งหลัง
นางพิชานันท์ เผือกผ่อง นายกเหล่ากาชาด และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า เดิม ผวจ.นครศรีธรรมราช และตนตั้งใจทำโครงการ “บ้านปันสุข” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ยากไร้โดยไม่ใช้งบทางราชการ ตั้งเป้าหมายไว้ 50 หลัง แต่มีผู้ใจบุญร่วมบริจาคสมทบจนก่อสร้างแล้วเสร็จมองไปแล้วกว่า 40 หลัง ที่เหลือกำลังเร่งก่อสร้างและจะมอบให้เสร็จก่อนวันที่ 30 ก.ย.66 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ ผวจ.นครศรีธรรมราชจะครบวาระการดำรงตำแหน่งก่อนเกษียณอายุราชการ อย่างไรก็ตามในส่วนการสร้างบ้านของนายจำเริญ และ น.ส.จุฑารัตน์ ขำขาว หรือ “น้องบีช” สองพ่อลูกผู้ยากไร้รายนี้ทาง ผวจ. และตน พร้อมนายกิตติพงษ์ รองเดช นายอำเภอปากพนัง จะรับเข้าโครงการ “บ้านปันสุข” เป็นกรณีพิเศษ เป็นหลังที่ 57 และจะเริ่มเข้าดำเนินการทันที สำหรับผู้ใจบุญที่จะบริจาคเป็นสมทบเป็น อิฐ หิน ปูนทรายและวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ สามารถไปมอบได้ที่หน้างานในสถานที่ก่อสร้าง ส่วนผู้ใจบุญที่บริจาคเป็นเงินสดโดยโอนข้าบัญชี น.ส.จุฑารัตน์ ขำขาว หรือ “น้องบีช” จะให้เป็นกองทุนเพื่อการศึกษาของน้องบีช ซึ่งการดำเนินการก่อสร้างก็ไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะทราบว่าทางนายศิลาวัดล่อง ผู้ใหญ่าบ้านหมู่ 9 ต.ขนาบนาก พร้อมทีมช่างจิตอาสาจะทำการช่วยก่อสร้างโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ด้าน น.ส.จุฑารัตน์ หรือน้องบีช กล่าวว่า ช่วงที่ตนอายุ 5 ขวบย่าง 6 เรียนชั้นอนุบาล 2 แม่เสียชีวิตหลังจากนั้นพ่อกเลี้ยงดูตนเองมาอย่างยากลำบาก แม้ฐานะจะยากตนแต่ตนก็ไม่ได้น้อยใจ เสียใจหรืออับอายเพื่อนฝูง แต่กลับมุ่งมั่นในการเล่าเรียน และไม่เคยหนีเรียน โดดเรียนเลย ตนตื่นนอนตี 5 ทำภาระกิจส่วนตัวและหุงข้าวไว้ให้พ่อ ก่อนอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน โดยผูกรถประจำไปกลับเดือนละ 700 บาท ในบางวันไปโรงเรียนไม่มีเงินติดตัวเลย โชคดีที่เพื่อนๆ เข้าใจและสงสารเลี้ยงข้าว และขนม โดยไม่มีใครดูหมิ่น ดูแคลนในความยากจนของตน โดยส่วนตัวคิดว่าสภาพที่เป็นอยู่ก็ไม่ลำบากมากนัก พอจะอยู่กันได้ ในขณะที่เพื่อนบ้านโดยเฉพาะเจ้าของที่ดินจะนำเงินมาให้ไปโรงเรียน นำข้าวปลาอาหารมาให้ทำให้ตนและพ่อสามารถดำรงชีวิตอยู่อาศัยกันมาอย่างยากลำบากแร้นแค้นจนถึงทุกวันนี้
“ซึ่งตอนจบ ม.3 คิดว่าจะไม่ได้เรียนต่อแล้วเพราะพ่อคงไม่มีเงินส่งเสีย จนทำเรื่องขอกู้เงิน กยศ. และผ่านการพิจารณา ตนจึงมีโอกาสได้เรียนต่อในระดับ ปวช. เมื่อผป่าน ปวช. 1 ขึ้นระดับ ปวช. 2 ทางวิทยาลัยเปิดโอกาสให้เลือกเรียนในสาขาวิชาต่าง ๆ ตนคิดว่าจะเลือกเรียนในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ ตนจะปรนนิบัติดูแลพ่อให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และดีใจมากที่สุดที่จะได้บ้านใหม่จาก ผวจ. รวมทั้งผู้ใจบุญทุกท่าน โดยเฉพาะคนที่บริจาคเงินเป็นทุนการศึกษาของตน ตนสัญญาจะเป็นเด็กดี เป็นคนดีของสังคมจะไม่ทำให้ผู้มีอุปการะคุณทุกคนผิดหวัง” น.ส.จุฑารัตน์ หรือน้องบีช กล่าวด้วยน้ำตานองใบหน้าอย่างน่าสงสาร.