เมื่อวันที่ 4 ก.ค. พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิยะอนันต์ โตสกุลวงศ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สำราญ กลั่นมา ผกก.สส.บก.ตม.4, ร่วมแถลงข่าวผลการทลายเครือขายขนคนจีนข้ามชาติเกี่ยวข้องกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวม 5 ครั้ง จับกุมคนไทย 5 ราย คนจีน 20 ราย โดยเครือข่ายขนคนจีนนี้ จะเป็นการหลอกคนจีนด้วยกันมาทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการกระทำความผิด

พ.ต.อ.สำราญ ระบุว่า แก๊งนี้มีพฤติการณ์กระทำความผิดซ้ำเหมือนกันทุกครั้ง โดยทำเป็นขบวนการตั้งแต่รับตัวคนจีนจากชายแดนไทยผ่านชองทางธรรมชาติริมแม่น้ำโขง บริเวณ จ.มุกดาหาร เขามายัง อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา แล้วสับเปลี่ยนรถ จากนั้นส่งตัวคนจีนให้กับทีมขนคนจีนอีกทีมซึ่งมาจาก อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อพาข้ามไปยังประเทศเมียนมาร์ โดย เครือข่ายขนคนจีนในครั้งนี้ ถูกจับกุมทั้งหมด 5 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงเดือน มีนาคม ถึง สิงหาคม ที่ผ่านมา จับกุมได้ในพื้นที่ จ.มุกดาหาร , กาฬสินธุ์ , กำแพงเพชร , พระนครศรีอยุธยา และหนองคาย

โดยครั้งที่สองที่เจ้าหน้าที่จับกุมนั้น อยู่ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ เป็นคนจีน 3 ราย โดยให้การว่าถูกหลอกมาทำงานที่ชายแดนเมียนมาร์ พาขึ้นรถยนต์ขับผ่านประเทศเวียดนาม ลาว และเข้าประเทศไทย เพื่อไปต่อยังประเทศปลายทาง แต่เมื่อถึงในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ จึงได้หลบหนีและขอความช่วยเหลือ ส่วนคนไทยที่พาตัวมานั้นได้หลบหนีไป ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่มีเบาะแสแล้ว อยู่ระหว่างการขออนุมัติหมายจับ

พ.ต.อ.สำราญ ระบุอีกว่า จากการสอบสวนพบว่าทั้งหมดเป็นเครือข่ายเดียวกัน มีการสลับสับเปลี่ยนทีมในการขนคนจีนในแต่ละครั้ง ส่วนสาเหตุที่มีการย้ายฐานการก่อเหตุนั่นก็เพราะว่า ทางประเทศกัมพูชามีการกวาดล้างอย่างเข้มงวด จึงทำให้มีการขนย้ายคนออกมาเพื่อพาส่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยคาดว่า จะมีทั้งประเทศเมียนมาร์ และ ประเทศลาว ที่จะถูกใช้เป็นฐานของแก๊ง ส่วนผู้ที่ถูกจับกุมบางรายให้การว่าถูกหลอกให้ไปทำงานบาร์ หรือ ล่ามแปลภาษา แต่ก็ถูกพาไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์

พ.ต.อ.สำราญ กล่าวอีกว่า ขณะที่มีบางรายทราบดีว่าถูกหลอกแต่ก็ยังยอมเข้าไปทำงานดังกล่าว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังเป็นชาวจีน ส่วนคนไทยเป็นเพียงกลุ่มที่ถูกว่าจ้างให้ขนส่งเท่านั้น ซึ่งยังไม่ทราบว่า ปลายทาง จะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งใหญ่เพียงแก๊งเดียว หรือ เป็นการขนส่งไปตามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อื่นๆ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และขยายผลเครือข่ายแก๊งนี้ต่อไป

ขณะที่ พล.ต.ต.พันธนะ ระบุว่า เครือข่ายนี้เป็นการขนคนจีนเพื่อไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นการย้ายฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเดิมที่มีฐานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เป็นประเทศเมียนมาร์ โดยทาง สตม.มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากตำรวจทางหลวง ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ และ ศูนย์ปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อเอาข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ในการจับกุม

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวอีกว่า ในการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะเหมือนกันหมดทั้งโลก แต่ในส่วนของประเทศไทยและ ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการกลับไปหลอกลวงคนจีนด้วยกัน หรือ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทั้งหมดที่จับกุมนั้นอยู่ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ในการจับกุมนั้น เป็นในส่วนของการขนส่ง ทาง สตม.มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยอื่นอยู่แล้วในการสกัดกั้น รวมถึงการทำงานร่วมกับ PCT ที่มีการปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ อ.แม่สาย อีกด้วย

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า ซึ่งที่ผ่านมา ก่อนมีการกวาดล้างจับกุม มีการขนส่งในลักษณะนี้ วันละ 100 คน แต่ในปัจจุบันมีจำนวนลดลง เหลือเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะฝ่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็เพิ่มความระวังไม่ให้ถูกจับด้วยเช่นกัน รวมถึงมีการเดินเท้าที่ไม่ได้ผ่านประเทศไทยด้วย

นอกจากนี้ยังจับกุมชาวต่างชาติที่เข้ามากระทำความผิดในไทย ทั้งในส่วนของชายอเมริกัน ก่อเหตุทะเลาะวิวาททำลายในพลูวิลล่า ก่อนหลบหนีมาในกรุงเทพ อีกทั้งหนุ่มเกาหลีใต้ก่อเหตุลักทรัพย์,ฉ้อโกง หลบหนีกบดานที่พัทยา และโอเวอร์สเตย์