ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับก้าวไกลมีสาระสำคัญคือเป็นการนิรโทษกรรมคดีการเมืองทุกสีเสื้อตั้งแต่ 11 ก.พ.2549 จนถึงร่าง พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับใช้ ยกเว้นเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับเหตุสลายุชุมนุม การกระทำความผิดต่อชีวิตและความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ในเรื่องการล้มล้างการปกครอง โดยให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำความผิดเพื่อการนิรโทษกรรม 9 คน แต่งตั้งโดยประธานสภาฯ พร้อมกำหนดสิทธิให้ผู้ได้รับความเดือดร้อน เสียหายจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ มีสิทธิร้องต่อศาลปกครองได้  

ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล  ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการคืนชีวิตใหม่ให้กับประชาชนที่โดนนิติสงครามเล่นงาน เพื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายได้ใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยโดยสันติ หันหน้าเข้ามาหากัน เพื่อแสวงหาฉันทามติครั้งใหม่ของสังคมอีกครั้งในอนาคต 

อย่างไรก็ตามร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ดูจะเป็นสร้างวิวาทะใหม่ขึ้นในสังคมไทยอีกครั้ง เพราะนิรโทษกรรมเป็นคำแสลงหูของคนหลายกลุ่ม จากบทเรียน นิรโทษกรรมเหมาเข่ง” ฉบับพรรคเพื่อไทยที่เป็นชนวนเหตุหนึ่งของการรัฐประหารในปี 2557 ที่ทำให้การเมืองไทยติดหล่มมาจนถึงทุกวันนี้   

ขณะที่ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับพรรคก้าวไกล ถูกพุ่งเป้าโจมตีในเรื่องการปล่อยผีความผิดคดีอาญา มาตรา 112  ที่เป็นประเด็นอ่อนไหวของสังคมไทยและยังมีคนเห็นต่างอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ประกาศเป็นนโยบายมาตลอดว่าต้องการคืนชีวิตให้คนหนุ่มสาวที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112  นับพันคนในการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี 2562-2563 ที่ผ่านมา  

อย่างไรก็ตามนอกจากประชาชน คนหนุ่มสาวที่เข้าไปติดร่างแหความผิดมาตรา 112 แล้ว ยังมีแกนนำคณะก้าวหน้าและสส.พรรคก้าวไกลจำนวนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนี้ จะถูกเหมารวมและได้อานิสงส์จากกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งในเรื่องคดีมาตรา 112 นั้น หัวหน้าพรรคก้าวไกล  บอกว่าให้เป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการวินิจฉัยฯ  

ดังนั้นสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องเคลียร์ให้ชัดคือความข้องใจของสังคมในประเด็นมาตรา 112 รวมทั้งต้องหาฉันทามติในสังคมให้ได้ก่อนว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยเอาด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่ ก่อนจะเข้าสู่ด่านหินสำคัญคือเวทีสภาที่ซีกรัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทยรอขวางอยู่ เพราะไม่ต้องใช้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมก็บรรลุเป้าหมายพาคนแดนไกลกลับบ้านสำเร็จแล้ว.