เมื่อวันที่ 19 ก.ย. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า เปิดเรียนไม่ต้องรอฉีดวัคซีนให้เด็กทุกคนเสียก่อน องค์กรยูเนสโกเพิ่งออกมาเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการเปิดโรงเรียนอีกครั้งหนึ่งด้วยเหตุผลว่าการปิดเรียนทำให้เด็กทั่วโลกเสียโอกาสทางการศึกษาอย่างมหาศาล

ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ปิดเรียนเป็นเวลานานและใช้วิธีสอนออนไลน์ที่ไม่ได้ผลและทำให้เด็กจำนวนมากถูกทอดทิ้งและเสียโอกาสในการศึกษาไปโดยไม่จำเป็น ไม่จำเป็นเพราะหลายพื้นที่ไม่ได้มีการระบาดที่รุนแรงถึงขั้นที่ต้องปิดเรียน แต่ก็ปิดไม่จำเป็นเพราะถ้าวางแผนฉีดวัคซีนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศตั้งแต่ระดับศูนย์เด็กเล็กไปจนถึงมหาวิทยาลัยซึ่งมีประมาณ 1.25 ล้านคนเสียแต่เนิ่นๆ ก็สามารถเปิดเรียนทั้งระบบได้ไปนานแล้ว

โดยไม่ต้องรอให้ฉีดวัคซีนให้เด็กทั่วประเทศเสียก่อนด้วย หลายประเทศในยุโรป สหรัฐ และจีนกำลังเร่งฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12-16 หรือ 12-18 ปี มาระยะหนึ่งแล้ว สำหรับประเทศไทย ล่าสุด กรมควบคุมโรคประกาศว่าประมาณวันที่ 4 ตุลาคมนี้จะเริ่มฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12-17 ปีในกลุ่มที่จะเปิดเรียนในตอนต้นเดือนพฤศจิกายนนี้

สิ่งที่แตกต่างระหว่างประเทศต่างๆกับประเทศไทย ก็คือประเทศต่างๆเขาฉีดวัคซีนมานานแล้วและครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงยิ่งได้รับการฉีดวัคซีนในสัดส่วนที่สูงมาก หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มฉีดวัคซีนให้เด็ก

ส่วนประเทศไทยยังฉีดวัคซีนให้ประชาชนน้อยมากคือมีผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มที่สองแล้วเพียง 19.8% เท่านั้น ประกอบการการกระจายวัคซีนโดยรวมไม่ได้เน้นผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยงเคร่งครัดจริงจังเหมือนในต่างประเทศ ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในประเทศไทยจึงยังไม่ได้ฉีดวัคซีนอีกเป็นจำนวนมาก

แต่ประเทศไทยกลับกำลังจะฉีดวัคซีนให้เด็กประมาณ 4.5 ล้านคนก่อนผู้สูงอายุอีกหลายล้านคน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีการกระจายการฉีดวัคซีนไม่เหมือนประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่ประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีนให้แก่พลเมืองของเขา

นอกจากผู้สูงอายุหลายล้านคนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแล้ว ครูและบุคลากรทางการศึกษาตลอดถึงนักการภารโรงและแม่ค้าขายของในโรงเรียนจำนวนมากก็ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ได้ความสำคัญกับการเปิดเรียนทำให้เสียโอกาสไปมาก ครั้นพอคิดจะเปิดเรียน ก็ไม่เข้าใจการจัดลำดับก่อนหลังในการฉีดวัคซีน หากทำแบบนี้ ถ้ามีการระบาดหนักๆขึ้นมาอีก ผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัวก็อาจจะเสียชีวิตกันอีกมาก

สิ่งที่ควรทำเวลานี้ไม่ใช่ฉีดเร่งวัคซีนให้นักเรียนก่อนปู่ยาตายายของนักเรียนทั้งหลาย แต่ควรจะเน้นฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศเสียก่อน หากต้องการเปิดเรียนให้เร็ว ก็รีบฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการศึกษาให้ทั่วถึงเร็วที่สุดแล้วก็เปิดโรงเรียนได้โดยดูแลกรณีที่เด็กบางคนติดเชื้อด้วยมาตรการที่เหมาะสมโดยไม่ต้องปิดโรงเรียนทั้งโรงเรียน

การฉีดวัคซีนให้เด็กก็เป็นเรื่องที่ดีและควรส่งเสริมให้ฉีดให้ได้เร็ว แต่ควรมีเงื่อนไข 2 ข้อคือ

1.ฉีดให้เด็กที่มีโรคประจำตัวที่ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง

2.ฉีดให้เด็กที่มีหลักฐานมาแสดงว่าพ่อแม่ปู่ยาตายายของเด็กคนนั้นได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว

ที่เสนอนี้ไม่ได้เกิดจากการนั่งเทียนคิดเอาเอง แต่ถ้าดูจากสถิติการติดเชื้อ การป่วยและเสียชีวิตกับการกระจายวัคซีนในกลุ่มอายุต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ก็จะพบว่าไม่มีประเทศไหนในโลกที่ทำอะไรกลับหัวกลับหางอย่างที่รัฐบาลไทยทำอยู่ครับ