สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ว่านพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐ ( เอ็นไอเอไอดี ) และที่ปรึกษาเรื่องโรคโควิด-19 ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ ว่าแม้ผู้นำสหรัฐมีแผนให้ชาวอเมริกันทั่วไปซึ่งรับวัคซีนครบสองเข็มแล้วนานเกินครึ่งปี เตรียมรับวัคซีนเข็มที่สามตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. 
อย่างไรก็ตาม รัฐบาล "เชื่อแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และหลักวิทยาศาสตร์" ดังนั้น แผนการฉีดบูสเตอร์จะเกิดขึ้นเมื่อใด ต้องเป็นไปตามมติของคณะกรรมการอาหารและยา ( เอฟดีเอ ) ขอให้ประชาชนรอมติอย่างเป็นทางการก่อน อย่าดำเนินการเองโดยพลการ 
ทั้งนี้ เอฟดีเอมีมติเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เห็นชอบการฉีดวัคซีนเข็มที่สาม ให้กับผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปี ผู้มีโรคประจำตัวซึ่งเอฟดีเอระบุว่า "เป็นกลุ่มเปราะบาง" และผู้ประกอบอาชีพเสี่ยงสูง คือ บุคลากรการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าด้านสาธารณสุข ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้น หลังเอฟดีเอมีมติเมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา ให้ผู้ป่วยด้วยโรคประจำตัว ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เป็นบุคคลกลุ่มแรกในสหรัฐที่สามารถรับวัคซีนบูสเตอร์ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใด
แต่ที่ประชุมยังไม่อนุมัติการใช้งานวัคซีนเข็มที่สามกับประชาชนเป็นวงกว้าง เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันอย่างชัดเจนเป็นวงกว้าง เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มสาม ที่มีต่อการลดอัตราการป่วยหลักและเสียชีวิต  ขณะเดียวกัน เอฟดีเอมีความกังวลว่า เมื่อฉีดวัคซีนเข็มที่สามแล้ว อาจต้องมีการฉีด "มากกว่านั้น" ในอนาคต ซึ่งจะเป็นการรับวัคซีนที่ "อาจมากเกินไป" 
ด้านไฟเซอร์แสดงความผิดหวังต่อมติดังกล่าวของเอฟดีเอ และยืนยันว่า ผลการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง 44,000 คน บ่งชี้ว่าการฉีดบูสเตอร์กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ 96% หลังฉีดครบสองเข็มไปแล้ว 2 เดือน แต่ลดลงเหลือประมาณ 84% หลังการฉีดครบสามเข็มไปแล้ว 6 เดือน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES