เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลง Policy Watch ประเด็น “หยุดระบบตั๋วและปฏิรูปตำรวจไทย” ตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมาทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ได้ยืนยันในสิ่งเดียวกันว่า เราต่อต้านระบบอุปถัมภ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เคยประกาศในเวทีหาเสียงว่า ระบบเส้นสายจะต้องถูกจัดการออกไป แต่กลายเป็นว่าวันนี้ เราได้เห็นคำพูดที่พูดได้อย่างหน้าชื่นตาบาน พูดอย่างเป็นธรรมชาติของนายเศรษฐา เกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์ ผ่านการฝากผู้กำกับในที่ประชุม สส. ของพรรคเพื่อไทย ตนคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่า ระบบอุปถัมภ์ในองค์กรตำรวจไม่ได้หมดไป และที่สำคัญระบบอุปถัมภ์นี้ สามารถพูดจากปากนายกฯ ในที่ประชุม สส. ของพรรคตัวเอง ได้อย่างไม่รู้สึกผิดอะไร

“เมื่อพูดไปแล้ว วันต่อมาคำชี้แจงคำอธิบายก็ไม่ได้มีความสะท้อนถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไป มันเป็นการสะท้อนถึงระบบอุปถัมภ์ที่คนที่มีอำนาจอย่างนายกฯ พึงแก้ปัญหา ไม่ใช่พึงเข้าร่วมกับปัญหาแม้แต่น้อย เราไม่เห็นความรู้สึกผิดของคนที่เป็นนายกฯ เลยแม้แต่น้อย จนถึงวันนี้ เราก็เห็นปรากฏการณ์ใหม่คือความเงียบ ไม่มีการออกมาชี้แจงแล้ว นักข่าวไปถามหัวหน้าพรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย ก็บอกง่ายๆ ว่า นายเศรษฐาได้พูดไปหมดแล้ว ไปถามคนอื่นๆ ก็เลียบเคียงๆ ไม่ตอบอะไร สิ่งเหล่านี้ถ้าพวกท่านไม่พูดอะไรต่อ เดี๋ยวก็หายและเงียบไปเอง นี่หรือคือผู้นำของประเทศเรา นี่หรือคือวิธีการแก้ปัญหาของนายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา วันนี้ท่านต้องรับผิดชอบกับคำพูดที่ท่านพูด วันนี้แทนที่จะแก้ปัญหาของระบบอุปถัมภ์เส้นสายตามที่หาเสียง แต่ปรากฏว่าท่านใช้โครงสร้าง ท่านใช้รากแก้วที่มันมีมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว มาจนถึงวันนี้ เป็นประโยชน์ต่อเครือข่ายอำนาจของท่านเองใช่หรือไม่” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า พูดตามตรง ตนคงไม่หวังกับรัฐบาลนี้ในการแก้ปัญหาตำรวจ เพราะตนรู้สึกว่า ถ้าเราอยากแก้ปัญหาจริงๆ สิ่งแรกที่เราต้องมีคือเจตจำนง ถ้าคุณไม่มีเจตจำนงปฏิรูปปัญหาตำรวจตั้งแต่ต้น มันก็ไม่มีทางแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ที่เกิดขึ้นในองค์กรตำรวจได้ แต่ตนคิดว่านี่คือโอกาสที่เราจะพูดเรื่องนี้ และปักหมุดทางความคิดด้วยกระดุม 5 เม็ด ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปตำรวจ ผู้มีอำนาจที่จะแก้เรื่องนี้ได้ อาจไม่ใช่นายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา อาจต้องผ่านเสียงเรียกร้องของพี่น้องประชาชนว่า กระดุมเม็ดไหนอาจจะพอทำได้บ้าง ซึ่งจะส่งต่อไปยังองค์กรที่มีอำนาจอื่นๆ อาจจะเป็น ผบ.ตร. หรือนายกฯ คนต่อไปในอนาคต ซึ่งจะเป็นความฝันและเป็นดวงดาวเหนือที่จะชี้นำสังคมว่า การปฏิรูปตำรวจต้องทำแบบนี้

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กระดุมเม็ดแรก ต้องทำให้การเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มาจากความสามารถ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ขององค์กรตำรวจ โดยมี 3 ขั้นตอนดังนี้ 1.ต้องให้รอง ผบ.ตร. ที่ต้องการเป็น ผบ.ตร. สมัครเข้ามาพร้อมแฟ้มผลงาน เพื่อให้กรรมการใช้ดุลพินิจและความเห็นได้ ว่า รอง ผบ.ตร. คนใดมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ 2.เปิดโอกาสให้รอง ผบ.ตร. ที่จะสมัครเข้ามาเป็น ผบ.ตร. แสดงวิสัยทัศน์แก่สังคมเห็น 3.สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์โดยให้มีระบบยืนยันชัดเจนว่าเป็นตำรวจ แต่ไม่เปิดเผยตัวตน ให้ตำรวจสมัครใช้บริการ เพื่อสามารถโหวตได้ว่า รอง ผบ.ตร. คนใดสมควรขึ้นเป็น ผบ.ตร. ซึ่งการโหวตครั้งนี้ อาจไม่ใช่คะแนนทั้งหมดที่ตัดสินได้ 100 เปอร์เซ็นต์ทันที อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของคะแนน เพื่อเป็นการส่งเสียงล่วงหน้ามาถึงนายกฯ ว่าใครคือคนที่ตำรวจส่วนใหญ่อยากให้เป็น ผบ.ตร. ทั้งสามขั้นตอนนี้ สามารถทำได้โดยไม่ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจฉบับปัจจุบัน

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า กระดุมเม็ดที่สอง ต้องกระจายอำนาจของตำรวจเพื่อให้จังหวัดและประชาชนเข้ามามีบทบาท วิธีนี้อาจจะใช้เวลาเพราะต้องแก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจ หากเปิดให้จังหวัดและประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ เขาจะรู้ได้ว่าตำรวจที่ย้ายเข้ามามีคุณภาพหรือไม่ ไม่ใช่การนำตำรวจที่ไม่มีคุณภาพย้ายไปอยู่พื้นที่อื่น กลายเป็นว่าประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นั้นเป็นกระโถน หากประชาชนได้ตรวจสอบและกำหนดทิศทางผ่านการกระจายอำนาจ ประชาชนจะสามารถตรวจสอบได้ว่า ตำรวจนายนั้นๆ มีประวัติอย่างไร เพราะในบางพื้นที่มีปัญหาอาชญากรรมไม่เหมือนกัน นี่คือทิศทางที่เราอยากเห็น

กระดุมเม็ดที่สาม นายกฯ ต้องไม่ทำให้ตำรวจหิว อย่าทำให้ตำรวจต้องหาเงินเพื่อความอิ่มท้อง และความสุขสบายของครอบครัว การศึกษาในต่างประเทศระบุว่า หากต้องการแก้ปัญหาไม่ให้เกิดการคอร์รัปชั่นตำรวจ ต้องทำให้ตำรวจระดับล่างมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขั้นต่ำที่สุดคือการมีอุปกรณ์ที่เพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ ตนเคยคำนวณว่า หากเราจะแก้ปัญหาอย่างน้อยที่สุด เอาแค่ตำรวจระดับล่างพออยู่ได้ในขั้นต้น การเติมเงินเข้าไป 4 พันล้าน ก็พอจะช่วยให้ตำรวจเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องควักเนื้อแล้ว หากรัฐบาลต้องการปราบไม่ให้เกิดการทุจริตในองค์กรตำรวจ ต้องไม่ทำให้ตำรวจหิว ต้องยกระดับงบประมาณ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดไป และนำเงินเหล่านั้นให้ตำรวจระดับล่าง

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กระดุมเม็ดที่สี่ รัฐบาลต้องส่งเสริมให้ตำรวจชั้นประทวนมีการเติบโตที่มากขึ้น โดยการส่งเสริมให้ตำรวจชั้นประทวนที่ยังไม่จบปริญญาตรี สามารถเข้าถึงและศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีได้ และขั้นตอนต่อมา คือการส่งเสริมให้เป็นนายร้อย ทุกวันนี้หากเราต้องการนายร้อยใหม่ๆ เรามักจะรับจากบุคคลภายนอกก่อน แต่ตำรวจชั้นประทวน ที่บางส่วนจบปริญญาตรีแล้วไม่มีโอกาส ทำไมเราไม่นำคนกลุ่มนี้ที่รู้ระบบงานตำรวจอยู่แล้วเข้ามาก่อน หากตำรวจระดับล่างที่ต้องการเป็นนายร้อยต้องรออายุ 53 ปี ถึงจะติดนายร้อย ตนเชื่อว่าการดำเนินการเช่นนี้ จะทำให้ตำรวจระดับล่างโอกาสเติบโต และมีความหวังในหน้าที่การงานยิ่งขึ้น และกระดุมเม็ดที่ห้า รัฐบาลต้องเลิกให้ตำรวจทำในสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่างการยกโขยงไปเป็นขบวนของผู้บังคับบัญชาที่ใช้ตำรวจมากเกินกว่าเหตุ เราต้องลดภาระของตำรวจเหล่านี้ให้น้อยลง โดยให้ตำรวจเหล่านี้มีจุดมุ่งหมาย คือการทำงานเพื่อประชาชน

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทั้งหมดที่ตนพูดมาสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ตนยอมรับว่ากระดุมทั้ง 5 เม็ดต้องใช้เวลา แต่ถ้าเราไม่เริ่มลงมือเลย ตำรวจก็จะเป็นเช่นนี้ ปัญหาขององค์กรตำรวจไม่ใช่ปัญหาของตำรวจทั้ง 2 แสนคน แต่เป็นปัญหาของเราทั้งหมด กลายเป็นว่า หากประชาชนอยากให้คดีมีความคืบหน้าต้องพึ่งพาสื่อ พึ่งพาโซเชียล พึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์ที่มีปากเสียงในสังคม หากไม่พึ่งพาคนเหล่านี้คดีของประชาชนจะไม่ได้รับการตอบสนอง ตนขอใช้โอกาสนี้ในการเรียกร้อง ว่ากระดุมทั้ง 5 ข้อนี้ ใครที่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาสามารถนำไปใช้ได้ เราอยากเห็นเจตจำนงของท่าน ในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้แล้ว อย่าให้องค์กรตำรวจเป็นอย่างวันวานที่ผ่านมาอีก