เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะคณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจและสังคมพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยมีมติให้ปรับเพดานหนี้สาธารณะ จาก 60% ให้เป็น 70% ต่อ GDP ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วจะเปิดช่องให้รัฐบาลสามารถกู้เงินนอกเหนือจากแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2565 ได้อีกประมาณ 1 ล้านล้านบาทนั้น หากยังจำกันได้เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่สภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณา พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า “ผมไม่โง่กู้ถึง 60% โดยที่มันผิดกฎหมายหรอก” ซึ่งต้องย้ำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เข้าใจว่า พรรคก้าวไกล ไม่เคยทักท้วงการกู้เลย
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนเเละพรรคก้าวไกลเน้นย้ำตลอดในสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโรคโควิดการกู้เงินเพื่อนำมาใช้จ่ายในด้านต่างๆที่จำเป็นไม่ว่าจะเป็น การจัดซื้อวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการแพร่ระบาด การจัดซื้อยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นเรื่องที่พรรคไม่เคยขัดข้อง และยืนยันว่าการกู้เงินมีความจำเป็นด้วยซ้ำ การกู้เงินจึงไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาอยู่ที่การใช้เงินที่กู้มาอย่างไร้ประสิทธิภาพและขาดวิสัยทัศน์ของรัฐบาลพอเงินหมดก็กู้อีก พอครบกำหนดต้องใช้หนี้ต้องกู้วนมาจ่ายหนี้ถ้าการใช้เงินของ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลยังขาดวิสัยทัศน์และไร้ประสิทธิภาพแบบนี้ ในที่สุดแล้ว สภาพของประเทศไม่ต่างจากคนที่ขาดวินัยทางการเงิน และมีหนี้บัตรเครดิตล้นพ้นตัว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ตนในฐานะคณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจฯเข้าใจดีว่าด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ การขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ของ GDP คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การขยายเพดานระดับหนี้สาธารณะ ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถกู้เงิน ที่เป็นภาระของประชาชนทั้งแผ่นดิน ทั้งคนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน และอีกหลายชีวิตที่จะถือกำเนิดขึ้นมาในอนาคต มาใช้จ่ายอย่างไร้สามัญสำนึกและขาดวิสัยทัศน์ ได้อย่างเดิม ไม่เช่นนั้น รัฐบาลถัดไปคงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องขยับเพดานหนี้สาธารณะให้สูงขึ้นกว่านี้เพื่อกู้เงินมาแก้ไขปัญหาตามล้างตามเช็ดความฟอนเฟะทางเศรษฐกิจที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ก่อเอาไว้
“การขยายระดับเพดานหนี้สาธารณจาก 60% เป็น 70% ของ GDP ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า มาจากการใช้จ่ายเงินกู้ และงบประมาณที่ไร้สิทธิภาพของรัฐบาล ที่ส่งผลทำให้ GDP ของประเทศ มีอัตราการขยายตัวที่ต่ำ และเป็นไปได้ว่าอาจจะแย่ ในระดับที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน…ที่จริงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ หมดความชอบธรรมในการกู้เงินไปแล้วด้วยซ้ำ ช่องว่างที่กู้ได้อีก 1 ล้านล้านบาท จากการขยายเพดานระดับหนี้สาธารณะในครั้งนี้ หาก พล.อ.ประยุทธ์ กู้มาถลุงจนเกลี้ยงอีกคงเป็นสิ่งที่ประชาชนทั้งแผ่นดิน ยากที่จะให้อภัย พล.อ.ประยุทธ์ จึงควรสังวรตน และเหลือวงเงินกู้ ให้กับรัฐบาลที่มีสติปัญญา และความสามารถ ได้กู้มาฟื้นฟูประเทศบ้าง” นายวิโรจน์กล่าว.