ถึงแม้ว่า “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ต่างมั่นใจใน เสถียรภาพ 314 เสียง ที่แน่นปึ้ก ยังไงเสียงผ่านฉลุยแน่นอน หากจะต้องโหวตหรือลงมติในกฎหมายฉบับสำคัญๆ ที่จ่อคิว รออยู่ ก็ 3 วาระ สำคัญ 1.ประเดิมด้วยไทม์ไลน์มาวางกรอบไว้เบื้องต้น อย่าง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าจะเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระแรก ในวันที่ 3-4 ม.ค. นี้ และคาดว่าจะสามารถประกาศบังคับใช้ได้ ราวปลายเดือน เม.ย. 67  

2.การออก พ.ร.บ.กู้เงิน วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท โครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000บาท” ที่ล่าสุดหนังสือกระทรวงการคลัง ขอสอบถามความเห็นกฤษฎีกาในข้อกฎหมาย เรื่อง การขอกู้เงินเพื่อดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต คนละ 1 หมื่นบาท สามารถออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน ได้หรือไม่ และถ้าหากกฤษฎีกาบอกว่าทำได้ รัฐบาลก็ต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า พ.ค. 67 เสร็จแน่นอน และ 3. ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยตามธรรมเนียม เต็งหนึ่งขึ้นเชือด หนีไม่พ้น นายกรัฐมนตรี เพราะสามารถตีระนาดถึงรัฐมนตรี ในกระทรวงอื่นๆ ด้วย

ซึ่งแน่นอน รัฐบาลที่มีเสียง 314 เสียง ถือว่าแน่นปึ้ก แถมยังมี “สส.อะไหล่” จากพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคใหม่ ไว้เติมเต็มอีกจำนวนหนึ่ง เรียกว่าอยู่ 4 ปี ได้สบายๆ

แต่ปรากฏว่าในการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 66 เกิดเหตุการณ์ “สภาล่ม” ประเดิมการเปิดประชุมสภา วันแรก  เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลที่ถูก พรรคก้าวไกล ตบหน้า ในระหว่างลงมติร่างแก้ไขข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ วันรุ่งขึ้นในการประชุมสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ได้ชี้แจงทันทีถึงองค์ประชุมสภาล่ม พร้อมหยิบยกทั้งรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรคหนึ่ง คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยเรื่ององค์ประชุมและการลงมติในสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สรุปเป็นแนวทางการตรวจสอบองค์ประชุมในทุกกระบวนการ ทั้ง การตรวจสอบองค์ประชุมก่อนลงมติและตอนลงมติ ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ ให้ถือเป็นแนวทางการปฏิบัติของสภาชุดที่ 26 ในเรื่ององค์ประชุม

แม้แต่ วิปรัฐบาล ก็เริ่มปวดหัว อย่าง นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานวิปรัฐบาล ยอมรับว่า สภาล่มวันแรกเป็นการแก้เผ็ดของพรรคเขาที่ไม่พอใจ สส.รัฐบาล ไม่ลงมติโหวตเลื่อนร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ให้ในช่วงเช้าวันที่ 13 ธ.ค. จึงมาเอาคืน ทั้งที่ตอนนับองค์ประชุมช่วยแสดงตนให้ แต่ไม่ยอมกดคะแนนตอนลงมติ ถือเป็นบทเรียนที่รัฐบาลต้องไปแก้ไข ตอนนี้ พรรคก้าวไกล มีเขี้ยวเล็บมากขึ้น ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป เขาเรียนรู้การใช้วิชาการเมืองแล้ว ไม่ได้มีแค่หลักวิชาการอย่างเดียว เป็นการเรียนรู้วิชาการเมืองมาจากแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ใช้ในสมัยที่แล้ว ดังนั้นรัฐบาลต้องระวังตัวมากขึ้น

เปิดสภารอบนี้ “พรรคก้าวไกล” เครื่องร้อน ใช้กลไกสภา เล่นงานถล่มรัฐบาล ดังนั้น “วิปรัฐบาล” ต้องไม่ประมาท เพราะถ้า “สภาล่ม” หรือ “ล่มสภา” บ่อยๆ ระวังจะเกิดวิกฤติศรัทธาตามมา.