เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่ลานข้างเทศบาลตำบลโนนสวรรค์ อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด เครือข่ายคนฮักทุ่งกุลา ต.โนนสวรรค์ นัดรวมตัวเคลื่อนขบวนเพื่อขับไล่อุตสาหกรรมอ้อยน้ำตาลทรายและโรงไฟฟ้าชีวมวลออกไปจากพื้นที่ และเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการ จ.ร้อยเอ็ด ให้คำตอบว่าจะปกป้องผืนแผ่นดินทุ่งกุลาสำหรับเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิโลก หรือจะเปลี่ยนเป็นไร่อ้อยเพื่อตอบสนองนายทุนที่จ้องทำลายความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่

โดยนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ที่ปรึกษาเครือข่ายคนฮักทุ่งกุลา กล่าวตอนหนึ่งว่า อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าจากประเทศอย่างมาก ก่อนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จะมาบริหารประเทศ โรงงานน้ำตาล 2 แห่ง ต้องตั้งห่างกัน 100 กม. แต่มีการแก้กฎหมายให้ขยับมาเป็น 50 กม. ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ต้องถูกควบคุม ไม่ใช่แค่การตั้งโรงงานอย่างเดียว เพราะถ้าอยู่ใกล้กันจะมีการแย่งโควตาอ้อยเกิดขึ้น เพราะโรงงานหนึ่งแห่งต้องใช้พื้นที่ปลูกอ้อยไม่ต่ำกว่า 3-5 แสนไร่ และทั่วประเทศต้องใช้พื้นที่ปลูกอ้อยไม่ต่ำกว่า 10.5 ล้านไร่  

นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำคือ ให้นายทุนอ้อยเบอร์หนึ่งของประเทศมากำหนดยุทธศาสตร์การปลูกอ้อย อ้างว่าพื้นที่ทุ่งกุลาเป็นนาน้ำฝน ผลผลิตข้าวที่ได้ต่ำ ไม่ควรเป็นนาข้าว ให้เปลี่ยนเป็นไร่อ้อยเสีย ซึ่งเป็นการเหยียบย่ำชาวบ้าน เหมือนสมัยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะให้ทุ่งกลาเป็นที่ทิ้งขยะของประเทศไทย หรือแม้กระทั่งในยุคนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ที่จะให้เป็นพื้นที่กาสิโน ตอนนี้เราต้องมาดูน้ำยาของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าจะดำรงนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ เอาไว้อย่างเดิม ด้วยการเปลี่ยนท้องนาทุ่งกุลาเป็นไร่อ้อย หรือจะเปลี่ยนนโยบายนี้หรือไม่  

นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การดำเนินการทั้งหลายจะผ่านระบบเกษตรพันธะสัญญา แต่ 5-6 ปีที่โรงงานน้ำตาลเข้ามาอยู่ในพื้นที่ เขาต้องการที่ดินปลูกอ้อย 300,500 ไร่ แต่ปัจจุบันได้เพียง 1.4 หมื่นไร่ เพียงพอต่อการหีบอ้อยได้แค่ 3 วัน ตัวเลขนี้ชี้ว่า พี่น้องทุ่งกุลาไม่ใช่หมู แสดงว่าชาวบ้านไม่อยากเปลี่ยน และผูกผันกับวิถีชีวิตเดิมคือการปลูกข้าวหอมมะลิ อยากเก็บผืนแผ่นดินทุ่งกุลาไว้ให้ลูกหลาน รัฐบาลนี้กำลังส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งข้าวหอมมะลิเป็นซอฟต์พาวเวอร์มาก่อนพรรคไทยรักไทยจะเป็นรัฐบาลเสียอีก แต่ทำไมรัฐบาลไม่ส่งเสริมข้าวหอมมะลิ โรงงานไม่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวบ้านได้ แสดงถึงความล้มเหลวของโรงงานน้ำตาลจนต้องไปหาอ้อยจากนอกพื้นที่ 2 ล้านไร่ของทุ่งกุลา ในเมื่อไม่สามารถหาพื้นที่ปลูกอ้อยในทุ่งกุลาได้ ดังนั้นจึงต้องย้ายโรงงานออกไป เป็นข้อเรียกร้องเดียวของพวกเรา

“ข้อเรียกร้องเดียวคือโรงงานแห่งนี้ ต้องย้ายตามไร่อ้อยออกไปเสีย เราจะไม่ประนีประนอมอีกต่อไป ขอฝากบริษัทแห่งนี้ ถ้ายังมีสำนึกดีอยู่ ก็ให้ย้ายโรงงานออกไป อย่ามาตั้งที่นี่ ปีหน้าเราจะให้โอกาสเป็นเวลา 1 เดือน คือในเดือน ม.ค. ผู้ว่าฯ ร้อยเอ็ด ถ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่ คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณใหญ่กว่าบริษัทนี้ และต้องมีคำตอบให้กับเราว่า จะเลือกให้ทุ่งกุลาเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิหรือเป็นไร่อ้อย ถ้าไม่ได้คำตอบในเดือน ก.พ. 2567 เราจะยกระดับการชุมนุมด้วยการปิดบริษัทแห่งนี้ และเราจะตั้งหมู่บ้านคนฮักทุ่งกุลาขึ้น ที่ผืนแผ่นดินที่นี่” นายเลิศศักดิ์ กล่าว