สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ว่า คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) เสนอกฎหมายดังกล่าวเมื่อปีที่แล้ว ในความพยายามเพื่อควบคุมปริมาณขยะบรรจุภัณฑ์ หลังขยะประเภทนี้เพิ่มขึ้นในอียู มากกว่า 20% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการชอปปิงออนไลน์ และพฤติกรรมการบริโภค “อาหารพร้อมรับประทาน”

แม้ประเทศต่าง ๆ ในอียู สนับสนุนเป้าหมายหลักบางประการในกฎใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็น บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดจะต้องได้รับการออกแบบให้สามารถรีไซเคิลได้ ภายในปี 2573 ตลอดจนการเลิกใช้สิ่งของพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เช่น ถุงบางสำหรับใส่ผักผลไม้ ขวดแชมพูขนาดเล็ก รวมถึงจาน ถ้วย และกล่องแบบใช้แล้วทิ้ง แต่พวกเขาเสนอว่า ทุกประเทศควรสามารถกำหนดข้อยกเว้นกับผลิตภัณฑ์บางชนิดได้ อาทิ ผักและผลไม้ออร์แกนิก

อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบข้างต้นทำให้บางประเทศ เช่น ฟินแลนด์ ไม่เห็นด้วย และแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกระดาษและเยื่อกระดาษในท้องถิ่น

อนึ่ง หลายประเทศตกลงที่จะยกเว้นกระดาษแข็ง จากข้อกำหนดให้เปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ สำหรับการขนส่งสินค้า ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ฟินแลนด์ระบุว่า จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีขยะพลาสติกเพิ่มขึ้น ขณะที่อิตาลี สนับสนุนการยกเว้นไวน์ จากเป้าหมายในการใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำด้วย

นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกของอียู จะต้องเปิดตัวระบบมัดจำคืนเงินบรรจุภัณฑ์ (ดีอาร์เอส) สำหรับขวดพลาสติกและกระป๋อง แต่รัฐมนตรีหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า ประเทศที่มีอัตราการรวบรวมสิ่งของเหล่านี้อยู่ในระดับสูง สามารถได้รับการยกเว้นได้

ด้านนายเวอร์จินิยุส ซิงเควิซิอุส กรรมาธิการด้านสิ่งแวดล้อมของอียู ยอมรับว่า ข้อเสนอดังกล่าวทำให้ประเทศสมาชิกเสียงแตก และเกิดการล็อบบี้อย่างหนักจากอุตสาหกรรม แต่เขากล่าวเสริมว่า จุดยืนของประเทศต่าง ๆ ในอียู สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของกฎหมายเดิมอย่างกว้างขวาง.

เครดิตภาพ : AFP