เริ่มบรรเลงตั้งแต่วันที่ 3-4 ม.ค. 67 ประชุมสภา พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ไล่ยาวไปถึงการเปิดสภาพิจารณากฎหมายสำคัญอย่างร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม
ขณะที่การบริหารประเทศภาพใหญ่หากเศรษฐกิจไม่ฟื้น หรือดิ่งหนักลงไปอีก ตามสถานการณ์โลกที่เศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยก็จะเสี่ยงเสียคะแนนนิยม เสียความเชื่อมั่น เพราะหากจะหวังโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ก็ยังลูกผีลูกคน แม้ “ผู้นำประเทศ” จะออกมายืนกรานว่า โครงการจะเริ่มใช้ในเดือน พ.ค. 2567 แต่ดูเหมือนว่ายังมีเงื่อนไขหลายอย่าง และมีแนวโน้มสูงว่าออกมาแล้ว อาจติดปัญหาไปต่อไม่ได้ หรือไม่ตรงปก ทำให้โดนโจมตีหนักอีกยกหนึ่ง
ตามมาด้วยปมร้อนฉ่าที่ไม่พูดถึงไม่ได้ กรณี “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ นอนป่วยนานอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ กลายเป็นจุดอ่อนกระทบรัฐบาล สร้างกระแสต้านในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะกระทบกับภาพลักษณ์พรรคเพื่อไทยแน่นอน และหากการพ้นโทษของอดีตนายกฯ ทักษิณ หรือการได้ออกมาอยู่บ้านแบบพักโทษ ย่อมส่งผลแง่ลบกับรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย รวมถึงตัวนายกฯเศรษฐา อย่างไม่ต้องคาดเดาเลย

ซึ่งประเด็นดังกล่าว “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลูกสาวของทักษิณ ต่างพยายามเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้มาตลอด เพื่อป้องกันแรงกระเพื่อม จนสร้างแรงกดดัน พยายามทำทุกอย่างให้เรื่องเงียบมากที่สุด จึงเป็นหน้าที่ของ รมว.ยุติธรรม เป็นผู้ตอบคำถามแทนมาโดยตลอด เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงในฐานะกำกับดูแลกรมราชทัณฑ์
สอดคล้องกับผลโพลล่าสุดคะแนนความนิยมของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะความนิยมของ “อุ๊งอิ๊ง” ตั้งแต่ขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กลับ “ไม่ปัง” อย่างที่หวังเอาไว้ เช่นเดียวกับคะแนนนิยมของ “นายกฯ เศรษฐา” คะแนนอยู่รั้งท้ายแบบน่าใจหายด้วยเช่นกัน หากเทียบกับคะแนนของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่ปัจจุบันเป็นแค่ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล มีคะแนนความนิยมแบบนำโด่ง ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลต้องทำการบ้านอย่างหนักในปี 2567 เพื่อประคองตัวรักษาฐานเสียงไว้ให้ได้
ดังนั้น หากพิจารณาจากแนวโน้มการเมืองในปีนี้ เชื่อว่าเข้มข้น ดุเดือดกว่าปีที่ผ่านมาหลายเท่า เพราะแน่นอนว่ากระแสกดดันจะรุมเร้าพุ่งเข้าใส่ “ตระกูลชิน” หรือตัวนายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว รวมไปถึงส่งผลสะเทือนไปถึงรัฐบาลเต็มๆ เห็นได้จากในช่วงปลายปี 66 ที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณจากรัฐบาลชัดเจน ว่าไม่กล้าขยับแตะอารมณ์คนไทย หากกระแสสังคมตีกลับ มีโอกาสพังได้อีกรอบแน่นอน.