เมื่อวันที่ 3 ม.ค. เวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ในวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก ว่า รัฐบาลได้จดบันทึกรับข้อสังเกตต่างๆ ของ สส. ผู้อภิปรายไปพิจารณาและปรับปรุงในชั้นคณะกรรมาธิการ เพื่อทำให้เม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน สำหรับงบประมาณเป็นเสมือนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของรัฐบาลในแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 6 ของตัวเลขจีดีพี แต่ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนและการผลักดันนโยบายยังมีกลไกอื่นๆ ที่สำคัญมากกว่างบประมาณ โดยการดำเนินนโยบายหลายอย่าง อาทิ การลดราคาพลังงาน เป็นเรื่องการบริหารจัดการ ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณใดๆ

รมช.คลัง กล่าวอีกว่า กรณีที่มีผู้ถามหางบประมาณสำหรับการทำประชามติ ก็ไม่พบรายการในเอกสารงบประมาณดังกล่าวเช่นกัน เพราะจะต้องให้หน่วยงานมีแผนงานที่ชัดเจนแล้ว ยื่นคำของบประมาณเข้ามา โดยกลไกในเรื่องการทำประชามตินั้น ถ้ามีคำสั่งจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือส่วนอื่นใดที่มีอำนาจในการดำเนินการดังกล่าวแล้ว ส่วนงานจะส่งคำของบประมาณมาที่รัฐบาลเพื่อจะได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้ใช้ดำเนินการ ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า รัฐบาลยังเดินหน้ากลไกการทำประชามติต่อไป และมีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขณะเดียวกันรัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการทำประชามติและเรื่องอื่นใด

ส่วนข้อสังเกตที่ว่า การตั้งงบประมาณของรัฐบาลชุดนี้ไม่ต่างจากงบประมาณของรัฐบาลชุดที่แล้ว และระบุว่ารัฐบาลปัจจุบันรับมรดกจากรัฐบาลชุดที่แล้วนั้น ตนยอมรับว่ามีการส่งมอบภารกิจบางอย่างซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่อง อาทิ งบประมาณผูกพัน ซึ่งเราไม่สามารถตัดออกได้ เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการต่อตามสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทเอกชนในกรณีนั้น แต่รัฐบาลมีการปรับแก้ในการทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2567 โดยวันแรกที่เราเข้ามาเป็นรัฐบาล ได้ทบทวนปฏิทินงบประมาณเพื่อปรับเนื้อในให้มีความเหมาะสมกับนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน และสามารถขับเคลื่อนประเทศได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ ทั้งนี้ในกลไกการจัดทำงบประมาณฯ ปี 2567 มีสิ่งสำคัญ 3 อย่าง คือ 1.ค่าใช้จ่ายตามสิทธิ มีประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท อาทิ งบประมาณเรื่องบุคลากร งบกลาง งบประมาณช่วยเหลือข้าราชการและลูกจ้าง เงินเลื่อนชั้นเงินเดือน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยอุดหนุนเด็กแรกเกิด เบี้ยผู้พิการ โครงการเรียนฟรี 15 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องบรรจุในรายการงบประมาณ 2.ค่าใช้จ่ายตามข้อผูกพัน มีประมาณ 628,000 ล้านบาท ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.วิธีการประมาณ พ.ศ. 2561 กำหนดไว้ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เป็นไปตามกฎหมาย อาทิ ค่าสมาชิกกองทุนระหว่างประเทศ เงินจ่ายชดใช้เงินคงคลัง 3.ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน 500,000 ล้านบาท อาทิ ค่าสาธารณูปโภค รายจ่ายฉุกเฉินและจำเป็น จึงรวมทั้งหมดเหล่านี้เป็นเงินประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขณะที่ค่าใช้จ่ายอีก 1.5 ล้านล้านบาทเศษ เป็นรายจ่ายเพื่อการบริหารจัดการนโยบายที่นายกฯ แถลงต่อรัฐสภา เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น การแก้ปัญหาหนี้สิน การลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน การกระตุ้นการท่องเที่ยวระยะสั้น การวางโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนงบกลางถูกตั้งไว้เพิ่มขึ้นเป็น 98,500 ล้านบาท เนื่องจากมีการเพิ่มวงเงินงบประมาณรวม 3.48 ล้านล้านบาท สำหรับโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่ไม่ปรากฏอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2567 เพราะปรับเปลี่ยนเรื่องแหล่งที่มาของเงิน เพื่อสร้างความโปร่งใส และเป็นการใช้งบประมาณจากการกู้เงิน ซึ่งเป็นแหล่งเงินจากภายนอกเข้ามาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย