สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ว่า ไบเดน กล่าวในแถลงการณ์ว่า การระงับการอนุมัติโรงงานแอลเอ็นจีแห่งใหม่ชั่วคราว เป็นผลจากวิกฤติด้านสภาพอากาศ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ตามข้อมูลของเซดิกาซ (CEDIGAZ) สหรัฐเป็นผู้ส่งออกแอลเอ็นจีชั้นนำของโลก โดยมีปริมาณการส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ 328 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และมีโรงงานดำเนินการทั้งหมด 7 แห่ง ทว่าภายใต้แผนการล่าสุด คำขอการส่งออกครั้งใหม่จะถูกตรวจสอบอย่างไม่มีกำหนด โดยพิจารณาจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในวงกว้าง
#UPDATE The United States, which ships more liquefied natural gas (LNG) than any other country, is hitting pause on new export facilities, the Biden administration announced Friday in a step hailed as vital to tackling the climate crisis.https://t.co/r3F0stDGsu
— AFP News Agency (@AFP) January 26, 2024
ทั้งนี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์ และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก ต่างแสดงความยินดีกับความเคลื่อนไหวดังกล่าวของรัฐบาลสหรัฐ
“มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเหมาะสมสำหรับรัฐบาล ในการดำเนินการตรวจสอบอย่างกว้างขวาง เพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของการส่งออกก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายกำลังการผลิตในเวลานี้” นายแดน ลาชอฟ ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรโลก (ดับเบิลยูอาร์ไอ) กล่าว
แม้กลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลหลายกลุ่ม รวมถึงสมาคมปิโตรเลียมอิสระแห่งอเมริกา (ไอพีพี) แสดงความไม่พอใจ และกล่าวว่าแผนการดังกล่าวจะทำให้รัสเซียมีอิทธิพลมากขึ้นในตลาดก๊าซของยุโรป แต่จดหมายล่าสุดจากสมาชิกสภายุโรป (อีพี) 60 คน ส่งถึงไบเดน ระบุว่า ก่อนหน้านี้แอลเอ็นจีของสหรัฐ เคยช่วยยุโรปหลีกเลี่ยงวิกฤติด้านพลังงาน อันเกิดจากการที่รัสเซียปฏิบัติการทางทหารในยูเครน ส่งผลให้ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) ในขณะนี้ ลดความต้องการก๊าซของพวกเขาลง.
เครดิตภาพ : AFP