เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ห้องประชุมเวียงละกอน ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดลำปาง ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่จังหวัดลำปาง โดยมี นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง รศ.ดร.สุพรรณี ฉายะบุตร ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดลำปาง นายชนาธิป เสมแย้ม นายพัชระ สิมะเสถียร รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง นายปกรณ์ กรรณวัลลี ปลัดจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการและหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย นายอำเภอ 13 อำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ตนได้มาลงพื้นที่จังหวัดลำปาง เพื่อมาเปิดอบรมวิทยากรผู้ถ่ายทอดความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น รุ่นที่ 5 ณ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนลำปาง จึงถือโอกาสมาพบปะพี่น้องชาวมหาดไทย ด้วยเหตุผลสำคัญ ประการแรก คือ เพื่อมาพูดคุยให้พี่น้องชาวมหาดไทยได้มุ่งมั่นในการทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน” ให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อช่วยกันสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ด้วยการหมั่นลงพื้นที่เยี่ยมเยียนพบปะกับพี่น้องประชาชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ จังหวัดลำปางเป็นบ้านเกิดในชีวิตข้าราชการของตน เพราะตนได้รับบรรจุแต่งตั้งให้เป็นปลัดอำเภอที่อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง เป็นที่แรก เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2531 ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข มีความทรงจำที่ดีกับคนลำปาง ทำให้มีความผูกพันกับคนลำปางอย่างมาก ทุกครั้งที่มาที่นี่ก็มีความสุขเหมือนได้กลับบ้าน จึงดีใจอย่างยิ่งที่ได้มาพบปะพูดคุยกับทุกคน

“ตลอด 36 ปี ของชีวิตข้าราชการ สิ่งที่ตนเชื่อมั่นว่าประเทศชาติของเราจะมั่นคง ต้องประกอบไปด้วย 3 สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งประเทศชาติจะมั่นคงไม่ได้ หากคนในชาติไม่รู้จักรักและหวงแหนแผ่นดิน เราจึงต้องช่วยกันทำให้คนไทยมีความรักชาติจากการรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไทยและท้องถิ่น รวมถึงรักษาความดีงามของบรรพบุรุษที่ส่งต่อมา ทั้งศาสนา วัฒนธรรมประเพณีให้อยู่ในสายเลือดคนไทย การจะทำให้คนในชาติมีความรักความสามัคคีได้ ต้องรื้อฟื้น DNA คนไทยที่มีจิตใจแห่งความเมตตา มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีสัมมาคารวะ เคารพผู้อาวุโส ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีสังคมไทยมีสิ่งที่ดีงาม มีวัฒนธรรมความเป็นไทยอยู่ในทุกพื้นที่ จึงต้องช่วยกันรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้ไว้ เพราะความเป็นชาติต้องประกอบไปด้วยคนที่รู้จักรากเหง้าของชาติเรา ทำให้เกิด “Unity” ของคนในชาติเดียวกัน เกิดความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ ช่วยกันบ่มเพาะค่านิยมความเป็นไทย ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม” นายสุทธิพงษ์กล่าว

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ จึงต้องช่วยกันทำให้เกิดค่านิยมความรักชาติ ผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งเพลงปลุกใจ หรือสิ่งที่จะส่งเสริมให้คนรักชาติ ควบคู่กับการสอนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ศีลธรรม หน้าที่พลเมือง และวิชาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการเทิดทูนสถาบันหลักของชาติ ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ คือ พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นหลักชัย ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระหม่อม บำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการให้กับพสกนิกรคนไทย ซึ่งทุกพระองค์ล้วนแต่ทรงเป็นกำลังสำคัญที่สุดของชาติในการขับเคลื่อนนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดี ดังเช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราช กรุงหงสาวดี ณ หนองสาหร่าย จนประเทศไทยเราได้รับชัยชนะศึกสงครามจากพระมหากษัตริย์ด้วยตัวพระองค์เอง เช่นเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้กุศโลบายสละแผ่นดินส่วนน้อยเพื่อรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ให้พวกเรา เราจึงมีแผ่นดินไทยอยู่อาศัยถึงทุกวันนี้

“นอกจากนี้สถาบันข้าราชการในระดับพื้นที่ มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอในฐานะผู้นำของพื้นที่เป็นหลักของสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะคงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืนได้ ข้าราชการมหาดไทยทุกคนต้องเป็นผู้นำของสังคม ทำหน้าที่สนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสริมสร้างพลังความรักความศรัทธาของประชาชน โน้มตัวเข้าหาประชาชน เป็นเหมือนญาติสนิทมิตรสหายของชาวบ้าน ดังพุทธศาสนสุภาษิต วิสฺสาสปรมา ญาติ ความสนิทสนมคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง ทำให้อบอุ่นกายใจ ทำให้คนเชื่อมั่นว่าคนมหาดไทยสามารถคอยช่วยเหลือแบบไม่ห่างเหินห่างไกล ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้มอบหลักการทำงานให้เราทำแบบ “รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” อีกทั้งยังเตือนใจให้เราตระหนักในหน้าที่ ดังพระโอวาท “เจ้าคุณ อำนาจอยู่ที่ราษฎรเชื่อถือ ไม่ใช่อยู่ที่พระแสงศัตรา จะไปอยู่ที่ไหนก็ ถ้าเจ้าคุณทำให้ราษฎรเชื่อถือด้วยความศรัทธาแล้ว ไม่มีใครถอดเจ้าคุณได้แม้แต่ ในหลวง เพราะท่านก็ทรงปรารถนาให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขเช่นเดียวกัน” เพื่อให้ชาวบ้านเคารพรักและศรัทธา ด้วยการเยี่ยมเยียนพบปะพูดคุย ได้ทำงานร่วมกัน ทำให้เราสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของประชาชนให้ได้” นายสุทธิพงษ์กล่าว

นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมการทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืนตามสังคมในอุดมคติที่คนในสังคมมีความรักสามัคคี ช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน รวมถึงสร้างความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางอาหาร ผู้คนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีสู่ลูกหลานแบบรุ่นสู่รุ่นได้ นำไปสู่การเป็น “หมู่บ้านยั่งยืน” (Sustainable Village) ควบคู่กับการบูรณาการคน และบูรณาการงานตามภารกิจของทุกกระทรวงที่จะนำประโยชน์ไปสู่ประชาชนในทุกมิติ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานแนวทางหลัก “บวร” และ “7 ภาคีเครือข่าย” ที่จะทำงานร่วมกันให้สำเร็จอย่างยั่งยืนด้วยทีม ทั้งทีมทางการและทีมจิตอาสา ทำให้ทุกครัวเรือน ชุมชน หมู่บ้าน มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน นำไปสู่อำเภอและจังหวัดมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขยายผลไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) ทั้ง 17 ข้อ ที่กระทรวงมหาดไทยโดยผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด ได้ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกับผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับ Partnership

“ความสำเร็จอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ อยู่ที่ “คน” คนที่สำคัญที่สุดคือผู้นำที่มี “Passion” มีใจ มีอุดมการณ์ ไม่เพิกเฉยและทำทันที เพื่อช่วยกันทำให้ประชาชนพ้นจากความทุกข์ และมีความสุขอย่างยั่งยืน จึงต้องมาปลุกใจพวกเรา เพราะคำว่า “มหาดไทย” หมายถึง ใจที่รักและเมตตาผู้อื่น รวมถึงสีประจำกระทรวงมหาดไทยที่เป็นสีดำ เป็นสีแห่งความรักที่อมตะและเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น ความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ รวมถึงพี่น้องมหาดไทย ต้องศึกษางานของเราให้ถ่องแท้ ให้ความสำคัญกับการสร้างทีม เพื่อไปร่วมคิดค้นแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่องานจะสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น เริ่มจากการสร้างทีมข้าราชการผู้รับผิดชอบประจำตำบล คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำท้องถิ่นท้องที่ ให้มีภาวะผู้นำที่แสดงออกอย่างเข้มแข็ง “Strong Leadership” ด้วยการนำทีมไปสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างราชการและชาวบ้าน เพราะความสำเร็จและล้มเหลวขึ้นอยู่กับทีม รื้อฟื้นระบบกลุ่มบ้าน ป๊อกบ้านที่มีความเข้มแข็ง รู้จักเข้าใจในบทบาทหน้าที่ โดยมีหัวหน้าคุ้ม หัวหน้าป๊อก มีชื่อคุ้ม ชื่อป๊อก มีมาตรฐานในการจัดการองค์กร เป็นโครงสร้างครัวเรือนขนาดเล็ก ตามภูมิสังคม ขนาด 10-15 ครัวเรือน เพื่อการดูแลกันและกันอย่างทั่วถึง” นายสุทธิพงษ์กล่าว
นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานพระดำริให้กระทรวงมหาดไทย ทำให้เกิด “หมู่บ้านยั่งยืน” คือ ทำให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย มีอาหารการกิน มีเครื่องนุ่งห่ม เข้าถึงบริการสาธารณสุข เด็กเยาวชนได้รับการศึกษา รู้จักวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยผู้นำ ทั้งทีมทางการและทีมจิตอาสา ดังที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงสรุปจากโครงการพระราชดำริกว่า 5,151 โครงการ จากที่โครงการที่สำเร็จอย่างยั่งยืน มี 4 กระบวนการซึ่งต้องทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ คือ ร่วมพูดคุย ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมรับประโยชน์ และที่สำคัญที่สุด เราต้องทุ่มเท เสียสละ ทำหน้าที่ของข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว น้อมนำพระราชปณิธาน “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ไปสู่พี่น้องประชาชน โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ทำให้ทุกหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านยั่งยืน เป็นเสาหลักให้กับประชาชน ไม่ย่อท้อต่อการทำหน้าที่ทำประโยชน์ต่อส่วนรวม ทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับพี่น้องประชาชนและสังคม ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนตลอดไป