ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมสภาเกษตร จ.สมุทรสงคราม นายชัยยันต์ เจียมศิริ ประธานคณะทำงานแก้ไขปัญหาภาคการเกษตร สภาเกษตรกร จ.สมุทรสงคราม และคณะทำงานได้ร่วมประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรที่เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนและร้องเรียนมาที่สภาเกษตรกรจังหวัดฯ จำนวน 3 เรื่องได้แก่ ปัญหาหอยแมลงภู่ใน ต.แหลมใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม เนื่องจากผู้เลี้ยงหอยแมลงภู่ร้องเรียนว่ามีชาวประมงคนไทยบางรายจ้างแรงงานต่างด้าวมาเก็บหอยแมลงภู่แล้วลักลอบนำไปขายราคาถูกกว่าท้องตลาด ทำให้เกิดการตัดราคากัน ส่งผลให้หอยแมลงภู่ราคาตกต่ำ สภาเกษตรกรจึงแจ้งเรื่องนี้ให้ทางจังหวัดทราบและจังหวัดได้มอบให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) จ.สมุทรสงคราม เข้าไปจัดการแล้ว
ส่วนปัญหาลิ้นจี่ไม่ให้ผลผลิตเนื่องจากสภาพอากาศปีนี้ไม่หนาวเย็นเท่าที่ควร จึงคาดว่าลิ้นจี่ของ จ.สมุทรสงคราม จะให้ผลผลิตออกมาน้อยมากหรืออาจจะไม่มีเลย ที่ผ่านมาชาวสวนประสบปัญหาลิ้นจี่ไม่ให้ผลผลิตเกือบทุกปี กระทบต่ออาชีพและรายได้เพราะต้องเสียเงินค่าปุ๋ยและค่าดูแลต้นลิ้นจี่ตลอดทั้งปีแต่กลับไม่ได้ผลผลิตจำหน่าย ขณะเดียวกันชาวสวนที่รับภาระไม่ไหวก็โค่นต้นลิ้นจี่ทิ้งแล้วหันไปปลูกมะพร้าวน้ำหอมหรือส้มโอขาวใหญ่ที่ให้ผลผลิตที่ดีกว่าทดแทน สังเกตได้จากพื้นที่ปลูกมะพร้าวน้ำหอมและส้มโอขาวใหญ่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนพื้นที่ปลูกลิ้นจี่ลดลงจากเคยมีกว่า 10,000 ไร่เหลือเพียง 5,000 ไร่เศษ แสดงว่าลิ้นจี่ที่เป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของ จ.สมุทรสงคราม และเป็นสุดยอดผลไม้ของประเทศไทยอาจจะหมดไปถ้าไม่มีการอนุรักษ์รักษาต้นไว้อย่างจริงจัง จึงขอให้รัฐบาลมีการชดเชยรายได้ เช่น ข้าว อ้อย ยางพารา และมันสำปะหลัง ที่ปีไหนไม่ได้ผลผลิตก็ชดเชยเป็นค่าปุ๋ย ค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อที่จะให้ชาวสวนมีเงินบริหารจัดการในฤดูกาลต่อไปได้

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องปลากะพงราคาตกต่ำของเกษตรกรผู้เลี้ยงใน ต.นางตะเคียนและ ต.บางแก้ว อ.เมืองสมุทรสงคราม ที่ประสบปัญหาต้นทุนสูงทั้งค่าอาหารปลา ค่าไฟฟ้า และค่าแรงงาน ประกอบกับมีการนำเข้าปลากะพงจากประเทศมาเลเซียที่ราคาถูกกว่าเข้ามาตีตลาด โดยมีพ่อค้ารายใหญ่ซื้อมาขายให้กับร้านอาหารและโต๊ะจีน ราคากิโลกรัมละ 72-79 บาท ทำให้การซื้อปลากะพงจากผู้เลี้ยงในประเทศน้อยลง อีกทั้งยังต้องลดราคาปลาลงมาให้ใกล้เคียงกัน ขณะที่ต้นทุนสูงกว่าตกกิโลกรัมละ 90 บาท อันเนื่องมาจากค่าอาหารปลาและค่าไฟฟ้าที่ใช้ทำออกซิเจนที่แพงกว่า จึงขอให้รัฐบาลชะลอการนำเข้าปลากะพงและให้มีการตรวจสอบสารปนเปื้อนในปลากะพงจากประเทศเพื่อนบ้านให้เข้มงวดกว่าเดิม
นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติขอให้ภาครัฐจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายประกันรายได้ของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลากะพงไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 125 บาท อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทราบว่ารัฐบาลจะมีการชดเชยราคาปลากะพงทั้งประเทศจำนวน 1,500 ตัน สำหรับ จ.สมุทรสงคราม มีผู้เพาะเลี้ยงปลากะพง 4 กลุ่มรวมกว่า 100 คน ขอโควตาชดเชยจำนวน 500 ตัน โดยจะชดเชยให้กับผู้ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องเท่านั้น