เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 7 ก.พ.2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งมีวาระรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 โดยนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นอภิปรายสอบถามถึงประเด็นความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหมูเถื่อน และตีนไก่สวมสิทธิ ที่ได้มีการออกหมายจับทั้ง 2 กรณี รวมถึงมีผู้ต้องหามามอบตัวหลายราย ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการส่งข้อมูลมาให้ ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และอายัดเงินอย่างจริงจังแล้วหรือไม่ เนื่องจากเรื่องเงียบหายไป ไม่มีความคืบหน้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้เกิดความเกรงกลัว เพียงแค่มามอบตัวแล้วจบไป ขณะเดียวกันยังพบว่ามีการนำหมูเถื่อนมาจำหน่ายอยู่ โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปตรวจสอบจับกุมอย่างจริงจัง จนกลายเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ในช่วงใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนราคาหมูเริ่มตกต่ำ หมูเถื่อนทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบไปยังคุณภาพชีวิตของเกษตรกรฟาร์มหมู
ด้าน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ชี้แจงว่า ผู้ต้องหาในคดีหมูเถื่อนทั้งหมดที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดี ปปง.ได้ตรวจสอบทรัพย์ทั้งหมดแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่การกระทำความผิดหมูเถื่อน 161 ตู้ที่ดีเอสไอดำเนินคดี มันเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 2563-64 ทาง ปปง.ดำเนินการยึดทรัพย์ได้เพียงแค่ช่วงปี 64-ปัจจุบัน แต่ทรัพย์ที่มีมาก่อนหน้านี้ หรือก่อนเหตุจะเกิดเราไม่สามารถไปยึดได้ เนื่องจากต้องมีหลักฐานข้อมูลเพียงพอที่จะนำไปส่งศาลฯ
“ขณะนี้ ปปง. วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินร่วมกับดีเอสไอ พบว่ามีอีก 2,388 ตู้ ที่มีการนำเข้าหมูเถื่อนมาแล้ว แล้วขายของไปหมดแล้วเหลือแต่ใบตราส่งสินค้าทางทะเล หรือใบ BL ที่เป็นกระดาษ ซึ่งเราจะร่วมกับดีเอสไอดำเนินคดีในส่วนนี้ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานคดีนี้น่าจะมีข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อสาธารณะว่ารัฐได้ดำเนินการเข้มงวดกับผู้กระทำความผิดเพียงใด ก็ต้องขอเวลาให้ดีเอสไอดำเนินการหน่อย เนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูลทางเอกสารอาจต้องใช้เวลาบ้าง” รองเลขาฯ ปปง. ระบุ.