เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 7 ก.พ. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ตอบคำถามผู้สื่อข่าวภายหลังจาก ป.ป.ช.มีมติส่งคำเตือน 8 ข้อไปยังรัฐบาลที่กำลังผลักดันโครงการการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต และจะส่งเรื่องถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เนื่องจากนโยบายดังกล่าวขัดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ว่า ที่ต้องส่งเรื่องให้ กกต. เพื่อให้ไปพิจารณาดูว่ากรณีการให้นโยบายไว้อย่างหลังจากเข้ามาบริหารประเทศมีการดำเนินนโยบายตามโครงการที่ได้มีการหาเสียงไว้หรือไม่ ผิดแผกแตกต่างกันอย่างไร โดยจะต้องดูในภาพรวมว่ามีการประกาศหาเสียงไว้อย่างไร เพราะเป็นการให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนว่าเราจะดำเนินนโยบายนี้ด้วยวิธีการอย่างไร จำนวนเงินเท่าไร ให้แก่ใครบ้าง ดังนั้นต้องย้อนกลับไปดูสิ่งที่ได้หาเสียงไว้ และหลังจากเป็นรัฐบาลแล้วได้มีการดำเนินการอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะเหมือนว่าเราให้คำมั่นไว้อย่างแต่เวลามาปฏิบัติกลายเป็นอีกอย่าง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดอยากให้ทุกพรรคการเมืองก่อนการหาเสียง การดำเนินนโยบายต้องมีการพิจารณาวิเคราะห์ให้รอบคอบก่อนถึงจะวางนโยบายหาเสียงเพราะเวลาเข้าสู่การเป็นผู้บริหารแล้วการขับเคลื่อนมันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่ได้หาเสียงไว้ ก็อาจจะเหมือนกับโฆษณาไว้แต่เวลามีการซื้อจริงทำจริงไม่ตรงตามที่โฆษณา ซึ่งอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ อาจเป็นเพียงข้อเสนอแนะส่งไปให้ทาง กกต.รับไปพิจารณา เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ ในรัฐธรรมนูญเหมือนกันว่าองค์กรอิสระจะต้องมีหน้าที่ประสานความร่วมมือกัน แต่ไม่มีสภาพบังคับเป็นเพียงข้อเสนอแนะ ส่วน กกต.จะนำไปดำเนินการอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและอำนาจหน้าที่ของ กกต.
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ กกต.ตีตกคำร้องเกี่ยวกับนโยบายนี้โดยเห็นว่าไม่เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ ก็เป็นความเห็นของ กกต.ไม่ขอเข้าไปก้าวล่วง ซึ่ง กกต. อาจจะมองว่า ณ เวลานั้นว่าสามารถทำได้ แต่วันนี้ ป.ป.ช.ดูเฉพาะกรณีที่มีการประกาศนโยบายและข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่ได้มีการขับเคลื่อน และป.ป.ช.มีข้อเสนอแนะเป็นรูปธรรมอยู่แค่นี้ ยังไม่ได้มองต่อว่าการขับเคลื่อนจะส่อให้เกิดทุจริตหรือไม่ เมื่อรัฐบาลมีนโยบายเหล่านี้มา ป.ป.ช.ก็นำมาศึกษาถึงวิธีการว่าจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ ดูแนวทางโดยมีเอกสารหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งตนก็เดาข้อพิจารณาของคณะรัฐมนตรีไม่ออกว่าจะไปอย่างไร
ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของเขา ป.ป.ช.ก็จบเรื่องการเสนอแนะ ส่วนการดำเนินโครงการต่อไปถ้ามีปัญหา ป.ป.ช. ก็มีหน้าที่เฝ้าระวังตามอำนาจหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้ ป.ป.ช. ต้องลงไปให้ข้อเสนอแนะ แนะนำไม่ให้เกิดการทุจริตก่อน วันนี้เป็นการป้องนำปราบ คือทำงานเชิงรุก ไม่ใช่รอให้มีการกระทำความผิดมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้วจึงค่อยลงไป กฎหมายให้อำนาจ ป.ป.ช.ก้าวไปข้างหน้าได้ก่อนเป็นการทำงานในเชิงรุก ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว แต่สิ่งที่ ป.ป.ช.ทำงานเชิงรุกก็เป็นเพียงข้อเสนอแนะ และเฝ้าดู
เมื่อถามต่อว่า ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะ 8 ข้อ จะก่อให้เกิดปัญหากับรัฐบาลในอนาคตหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า อันนี้เป็นการมองในเรื่องอนาคต เราเพียงมีข้อเสนอแนะแต่รัฐบาลก็มีเหตุผล สามารถชี้แจงต่อสังคมได้ และประเด็นการดำเนินการไม่มีการทุจริตหรือคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น หรือเอื้อผลประโยชน์ให้แก่เอกชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือการวางระบบไม่ว่าจะเป็นระบบบล็อกเชนสามารถทำได้โดยราบรื่น ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่ส่งผลกระทบ ดังนั้นข้อแนะนำคือข้อแนะนำ
ส่วนที่รัฐบาลย้ำว่าประเทศไทยเกิดวิกฤติ มีความคิดเห็นอย่างไรว่าโครงการดังกล่าวจำเป็นจริงๆ หรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ประเด็นแรก ต้องมองก่อนว่าประเทศไทยประสบภาวะวิกฤติหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีความต่างมุมกันแต่ในการศึกษาของคณะกรรมการดิจิทัลของสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มีมุมมองหนึ่ง ที่มองว่าวันนี้เศรษฐกิจอาจยังไม่เข้าขั้นนั้นจึงได้เสนอในมุมมองของนักวิชาการ แต่หากว่ารัฐบาลมีมุมมองและมีข้อมูลสนับสนุนว่าประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติก็เป็นหน้าที่และอำนาจของรัฐบาลที่มีมุมมองนั้นได้ และสามารถดำเนินการขับเคลื่อนไปได้ จึงบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของฟีดแบ็ก
“เรื่องนี้เหมือนการกำหนดทีโออาร์ ตามกฎหมายกำหนดว่าจะต้องทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็น เมื่อรับฟังความเห็นรอบด้านแล้ว หากยังสามารถดำเนินการไปได้ต่อไปก็เป็นอำนาจของรัฐบาล ในฐานะผู้บริหารประเทศ ป.ป.ช.ไม่ใช่ผู้บริหารประเทศ เป็นเพียงคนหนึ่งที่ส่งเสียง ประชาพิจารณ์ให้ความเห็นเหมือนกัน”
เมื่อถามต่อว่า กังวลหรือไม่ว่าข้อเสนอของ ป.ป.ช. ในรอบนี้จะถูกมองว่าเป็นจินตนาการของ ป.ป.ช.เหมือนที่ผู้ใหญ่ในรัฐบาลเคยวิจารณ์ข้อเสนอนี้ในครั้งแรกของ ป.ป.ช. นายนิวัติไชย กล่าวว่า ทั้งสื่อมวลชนและประชาชนมองข้อเสนอแนะทั้ง 8 ข้อของ ป.ป.ช.ว่าเป็นการมโนหรือไม่ ถ้ามองแล้วเป็นเรื่องที่สามารถจับต้องได้มีเหตุมีผล สิ่งที่ ป.ป.ช.ทำไม่ได้หมายความว่า มันต้องใช่ แต่มันมีหลักฐานมีข้อมูลเราจึงต้องย้ำเตือน ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ ตนถึงบอกว่า 8 ข้อเท่าที่อ่านดูก็เป็นเพียงข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ เรามีข้อมูลอยู่เท่านี้มีเอกสารนโยบายหาเสียงของรัฐบาล มีเอกสารทางวิชาการมีความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมาจากหลากหลายสาขาทั้งภาครัฐและเอกชนที่เขามีมุมมองและสะท้อนภาพมุมมองออกไป ไม่ใช่ความคิดเห็นของคณะกรรมการที่คิดเอง เออเอง มีฐานข้อมูลในความคิดและเพียงแต่เราขยายฐานข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ แถลงให้สื่อมวลชนทราบและส่งข้อเสนอแนะที่ห่วงใยให้รัฐบาลรับไปช่วยพิจารณา
“ทุกอย่างที่จะทำจะต้องมีข้อเท็จจริงและเหตุผลประกอบกัน ตอบสังคมได้ ผมคิดว่าประชาชนมีเหตุมีผลเพียงพอที่จะใช้วิจารณญาณคิดได้ ว่าอะไรถูก ควรไม่ควร การทำงานในระดับประเทศแล้วเนี่ย ไม่ใช่ผมจะทำอย่างนี้ ก็ต้องทำอย่างนี้ ประชาชนมองว่าหากทำอย่างนี้มันสุ่มเสี่ยง เพราะผลสุดท้ายกลับมาคือภาคประชาชน ประชาชนอาจจะได้ 10,000 บาท แต่อีกหน่อยอาจจะต้องถูกจัดเก็บภาษีค่าน้ำค่าไฟ หรือค่าอื่นๆ เพื่อนำไปชำระหนี้ ซึ่งอาจจะมากกว่า 10,000 บาทก็ได้ ถ้าอย่างนั้นประชาชนอาจจะบอกว่าผมไม่เอาดีกว่า หรือบางคนอาจจะบอกว่าเอาก็แล้วแต่ความต้องการ แต่เป็นเรื่องของนโยบายของภาครัฐที่จะต้องดำเนินการ” นายนิวัติไชย กล่าวและว่า ป.ป.ช.มีความกังวลทั้ง 8 ข้อจึงได้ทำเรื่องเสนอไปยังรัฐบาลแต่ส่วนตัวที่กังวลที่สุดคือ กลัวตัวเองจะเป็นลูกหนี้ร่วม
อย่างไรก็ตาม นายนิวัติไชย ยังระบุว่า หากโครงการนี้มีการดำเนินการ ป.ป.ช.ก็จะติดตามความคืบหน้า เช่น หากมีเรื่องร้องเรียนว่าโครงการนี้มีพฤติการณ์ต่างๆ ก็เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ตามปกติซึ่งการเสนอแนะของ ป.ป.ช.ก็เป็นมาตรการในการป้องกันการทุจริตแต่ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะขับเคลื่อนอย่างไรจะเห็นด้วยหรือมีเหตุผลอย่างอื่น ซึ่งเบื้องต้นสิ่งที่ ป.ป.ช.ทำได้คือการทำงานเชิงรุกมีข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ แต่ถ้ารัฐบาลมีเหตุผลจะขับเคลื่อนโครงการต่อไปก็ต้องไปดูลำดับการขับเคลื่อนว่ามีช่องว่างช่องโหว่หรือไม่ วันนี้คิดว่ารัฐบาลเองก็รับฟัง ไม่เช่นนั้นก็คงประชุมขับเคลื่อนเดินหน้าไปแล้ว รัฐบาลไม่ได้ดึงดันว่าไม่สนใจความคิดเห็นของ ป.ป.ช.แต่ก็ชะลอ รอฟังอยู่ การทำงานจึงเป็นการช่วยกันทำเพื่อประเทศไม่ใช่ต่างคนต่างทำและไม่มีอคติต่อกัน รับฟังซึ่งกันและกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนหากดำเนินโครงการแล้ว อาจจะเกิดความเสียหายซ้ำรอยกับโครงการรับจำนำข้าวเหมือนในอดีตหรือไม่ ไม่สามารถตอบได้ เพราะเป็นเรื่องอนาคต
เมื่อถามว่าประชาชนส่วนหนึ่งอยากได้เงินอาจจะตำหนิ ป.ป.ช.ไม่ได้สนับสนุนไปในทิศทางที่ดีขึ้นหนักใจหรือไม่ นายนิวัติไชย ยืนยันว่า เป็นหน้าที่ ถ้า ป.ป.ช.ไม่ทำจะโดนด่ามากกว่านี้ ส่วนฟีดแบ็กเราก็ยอมรับ และผลกระทบความพึงพอใจของแต่ละคนเราห้ามไม่ได้ เพียงแต่ว่าขอให้คุยกันด้วยเหตุด้วยผล.