เมื่อวันที่ 8 ก.พ. นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ โฆษกคณะอนุ กมธ.พิจารณาศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร คนที่หนึ่ง และคณะ แถลงข่าวเกี่ยวกับการศึกษาผลกระทบและแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งสถานบันเทิงครบวงจรของคณะอนุ กมธ.พิจารณาศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ
นายนนท์ กล่าวว่า คณะอนุ กมธ. ได้ดำเนินการพิจารณาศึกษาถึงผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบ รวมถึงแนวทางและมาตรการการป้องกันแก้ไขปัญหา ที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งสถานบันเทิงครบวงจรในภาพรวม โดยพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นใน 6 ด้าน คือ 1. ด้านการเมือง เช่น ผลกระทบต่อความมั่นคง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ปัญหาการฟอกเงิน และปัญหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ประโยชน์สาธารณะ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค การส่งเสริมการท่องเที่ยว 2. ด้านเศรษฐกิจ เช่น รายได้จากค่าภาษีอากร ค่าใบอนุญาต การจัดตั้งกองทุนเพื่อและการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชน 3. ด้านสังคม เช่น แนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่และสังคมชุมชนทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ การป้องกันเด็กเยาวชนเข้าสู่อบายมุข
4. ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น แนวทางป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษทางเสียงและระบบนิเวศในพื้นที่ การรับมือปัญหาขยะมูลฝอย การบำบัดมลพิษ หรือมลพิษทางน้ำและทางอากาศ ปัญหาฝุ่นละอองที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้อาศัยในบริเวณใกล้กันกับสถานบันเทิงครบวงจร 5. ด้านการศึกษา เช่น ผลกระทบต่อเด็กเยาวชนในสถานศึกษา รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อผลิตบุคลากรที่มีทักษะและฝีมือแรงงานเฉพาะด้าน ในธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรหรือในธุรกิจกาสิโน 6. ด้านศาสนา และจริยธรรม รวมถึงจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น โดยพิจารณาศึกษาถึงผลกระทบในด้านที่อาจขัดต่อหลักจริยธรรม ศาสนา และจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นนั้น ๆ
นายนนท์ กล่าวต่อว่า สำหรับรูปแบบของการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ การหารายได้เข้ารัฐ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่น รวมถึงเพื่อแก้ไขปัญหาการพนันผิดกฎหมาย ซึ่งการลงทุนต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จึงอาจมีปัญหาด้านงบประมาณที่รัฐจะต้องจัดหามาใช้ในการลงทุนดังกล่าว ดังนั้น แนวทางที่จะช่วยลดปัญหาในการลงทุน จึงอาจมีได้ใน 3 แนวทาง คือ 1. รัฐเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งอาจอาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณของประเทศได้ แต่ข้อดีคือ รัฐสามารถจะควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินงานได้เองทั้งหมด 2. รัฐดำเนินงานร่วมกับเอกชนในรูปแบบการลงทุนร่วมกัน กรณีนี้รัฐอาจจะไม่ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงในการลงทุนเองทั้งหมด และยังสามารถจะควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินงานได้เองอีกด้วย 3. การให้สัมปทานหรือให้ใบอนุญาตกับเอกชนตามระยะเวลาที่กำหนด กรณีนี้ รัฐไม่ต้องรับความเสี่ยงในการลงทุนเองทั้งหมด ส่วนการควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินงานอาจต้องกำหนดเงื่อนไขและข้อจำกัดต่าง ๆ รวมถึงขั้นตอนการตรวจสอบไว้ในใบอนุญาตให้รัดกุม
นายนนท์ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ คณะอนุกรรมาธิการได้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ต่อกรณีการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งการพิจารณาศึกษาดังกล่าว คณะอนุ กมธ. ได้มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. การเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หากมองประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ย่อมส่งผลกระทบเชิงบวกที่อาจทำให้ผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางและสมาชิกในครอบครัวมีงานทำมีรายได้ ในทางกลับกัน หากมองในมิติทางสังคม อาจส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เช่น ส่งผลให้เกิดมลพิษทางเสียง รบกวนการใช้ชีวิต มีการจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งสารเสพติดมากขึ้น และก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ดังนั้น ภาครัฐควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการประเมินผลกระทบทางสังคมเพื่อสะท้อน และเปรียบเทียบผลกระทบเชิงบวก เชิงลบ พร้อมกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไข ในการลดผลกระทบดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด
2. การเปิดสถานบันเทิงครบวงจร บางส่วนอาจเป็นการส่งเสริมรูปแบบธุรกิจ Gaming ในรูปแบบกาสิโนออนไลน์ และออฟไลน์ ซึ่งอาจมีส่วนที่ครอบคลุมถึงการซื้อขายหุ้น สกุลเงิน หรือการเทรดหุ้น ไปจนถึงเกมออนไลน์ อีสปอร์ต โดยเฉพาะกรณีการพนันแบบออนไลน์ รัฐบาลต้องเน้นควบคุมการเข้าถึง ทั้งจากภายในและภายนอกราชอาณาจักร ซึ่งต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการป้องกัน ระงับ ยับยั้งการแทรกแชงประเทศ ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการห้ามการเข้าถึงเว็บไซต์พนันออนไลน์ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่ให้บริการกับบุคคลต้องห้ามในประเทศไทย ดำเนินการควบคุมธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งอาจจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อไม่ให้เกิดการฟอกเงินหรือเป็นช่องทางแหล่งบ่มเพาะปัญหาอาชญากรรม
นายนนท์ กล่าวต่อไปว่า 3. ควรมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการศึกษาผลกระทบของการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร อย่างละเอียดรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลกระทบที่มีต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งภาครัฐจะต้องเข้ามากำกับดูแลอย่างเข้มงวด และทำความเข้าใจกับประชาชนก่อนที่ จะมีการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรในประเทศไทย 4. ควรมีกระบวนการสร้างความเชื่อมั่น จัดทำเวทีประชาคมในพื้นที่เพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากประชาชน โดยต้องชี้แจงทำความเข้าใจ ประชาสัมพันธ์การดำเนินการของโครงการ ทั้งนี้ ควรแจ้งถึงผลกระทบ ข้อดีและข้อเสียจากการศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรของประเทศต่าง ๆ ให้ประชาชนรับทราบอย่างชัดเจนและเปิดเผย ตลอดจนรับฟังความคิดเห็น ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะของประชาชนในพื้นที่
5. กลุ่มผู้สูงอายุที่ อาศัยในเขตชนบท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรายได้น้อย จะมีความต้องการที่ เน้นด้านการเข้าถึงบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลที่ มีคุณภาพเป็นหลัก ดังนั้นการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร จึงไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้สูงอายุในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย แต่สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ที่เป็นกลุ่มที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ใน กทม.และปริมณฑล หรือต่างจังหวัด 6. การพิจารณาการพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ รวมถึงการร่างกฎหมายเฉพาะในกิจการสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศให้สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน 7. ควรจัดตั้งหน่วยงานในการกำกับดูแลการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการป้องกันแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในด้านการเมือง สังคม การศึกษา สิ่งแวดล้อม ศาสนาและวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งแก้ไขปัญหาการพนันผิดกฎหมาย และเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของผลการดำเนินงาน ปัญหาก่อนและหลังการดำเนินงาน โดยเฉพาะปัญหาทางสังคมของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบทางวัฒนธรรม
นายนนท์ กล่าวต่อว่า 8. หากมีการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร รวมถึงการเล่นพนันถูกกฎหมาย ควรมี Complex รวมถึงเพื่อการฟื้นฟูและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการเล่นพนัน โดยมีคณะกรรมการเป็นผู้ดูแลและบริหารจัดการกองทุน ซึ่งเป็นตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนรวม ที่จะพิจารณาใช้เงินกองทุนเพื่อการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดสถานบันเทิง 9. การเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร ควรเปิดในพื้นที่จำกัด โดยการกำหนดพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรศึกษาตัวอย่างต้นแบบธุรกิจกาสิโนในประเทศมาเลเซีย ที่แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม และเข้มงวดในเรื่องการพนัน แต่ประเทศมาเลเซียยังสามารถจัดตั้งสถานบันเทิงแบบครบวงจรและกาสิโนได้ 10. ควรพิจารณาถึงการละเล่นใดที่เป็นกีฬาและการละเล่นทางวัฒนธรรม ที่จะต้องดำเนินการรักษาไว้เพื่อสะท้อนถึงวัฒนธรรมไทยหรือไม่ เช่น มวยไทย ปลากัด ชนไก่ ชนโค ถือเป็นกีฬาทางวัฒนธรรมพื้นบ้าน ที่อาจจะต้องส่งเสริมและรักษาไว้ อย่างไรก็ตาม หากจะมีการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ควรจะมีมาตรการดูแลสภาพปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาทางด้านสังคม เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้.