เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ภาคีเครือข่ายป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครือข่ายองค์กรงดเหล้า และขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน ร่วมกันจัดเสวนา “ครบรอบ 16 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กับสังคมไทย” โดย รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว สถาบันส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และนักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า ในวันที่ 14 ก.พ. นี้ จะครบรอบ 16 ปี ของการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่า การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มข้นพอ ทำให้มีกลุ่มธุรกิจอาศัยช่องว่างของกฎหมายส่งเสริมการตลาด ส่งผลให้การรณรงค์ให้คนลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงในเปอร์เซ็นต์ไม่มากนัก ซึ่งเมื่อเทียบปี 2550 และ 2564 ในภาพรวม ลดลง 2% โดยเพศชายลดลง 5.9% แต่ถ้าดูที่ปริมาณการดื่ม กลับพบว่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วงก่อนปี 2551 มีการบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 0.18 ลิตร/ปี หลังปี 2551 มีปริมาณแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 0.02 ลิตร/ปี สำหรับผลกระทบโดยเฉพาะอุบัติเหตุทางถนนช่วง 7 วันอันตรายของเทศกาลปีใหม่ ลดลง 12.2% เทศกาลสงกรานต์ ลดลง 9.5%

รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวคิดแบบเสรีนิยมมากขึ้น เห็นได้จากผลการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านมา และมองว่า มาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งการจำกัดการโฆษณา จำกัดการขาย จำกัดการเข้า รวมถึงมาตรการทางภาษี ถูกตีตรา เหมารวมว่าเป็นส่วนหนึ่งของการใช้อำนาจควบคุมเสรีภาพของประชาชน จนเกิดการต่อต้านและเคลื่อนไหวให้ยกเลิกมาตรการเหล่านี้ หรือทำให้มาตรการลดความเข้มข้นลง อย่างไรก็ตาม ตนในฐานะนักวิชาการซึ่งได้เห็นข้อมูลวิชาการที่น่าเชื่อถือจากทั้งในและต่างประเทศ ขอเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า 1. ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างรอบด้าน รวมถึงผลกระทบ และผลการลดปัญหาจากมาตรการต่างๆ 2. มาตรการที่ใช้ในประเทศไทยใช้หลักการเดียวกับระดับเป็นสากล 3. ตนยอมรับว่า มาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เห็นผลว่าสามารถลดปัญหาได้ มีส่วนจำกัดเสรีภาพอยู่ แต่ก็เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนโดยรวม เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งผู้ดื่ม ครอบครัว และสังคม จึงจำเป็นต้องมีการจำกัด ซึ่งการมี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่สามารถลดจำนวนคนดื่ม ลดปัญหาได้จริง จึงสนับสนุนให้ใช้มาตรการเหล่านี้ต่อไป และบังคับใช้อย่างเข้มข้น หากจะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ก็ต้องให้ดีขึ้นไม่ใช่ให้อ่อนแอ

ผศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การที่ทุกประเทศไม่ปล่อยให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถขายได้อย่างเสรี เพราะมองว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าทั่วไป แต่เป็นสินค้าที่คนขายพอขายไปแล้วมีรายได้เขาก็จบ แต่หลังจากนั้นกลับทำให้คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ผลกระทบทางลบ จากการที่คนเมาแล้วขับบางคนเสียชีวิต บางคนต้องพิการ ส่งผลทำให้ผลิตภาพแรงงานลดลง อาชญากรรมสูงขึ้น ต้นทุนทางการแพทย์สูงขึ้น และการที่คนดื่มอ้างว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของเขาที่จะดื่ม แม้ว่าจะอายุสั้น แต่ที่จริงไม่ได้ส่งผลแค่ตัวเอง แต่ส่งผลถึงบุคคลที่สามด้วย เช่น หากคุณตายเร็ว ประเทศก็สูญเสียกำลังแรงงาน หรือหากคนเป็นครูบาอาจารย์ถึงจะดื่มเมาคนเดียว แต่พอตื่นมาเกิดอาการแฮงก์ ก็ส่งผลต่อคุณภาพการสอน ลูกศิษย์ก็เสียประโยชน์ที่จะได้รับการสอนที่มีคุณภาพ ดังนั้นในมิติทางเศรษฐศาสตร์ รัฐบาลทุกประเทศจึงต้องควบคุมให้เสรีไม่ได้ หากปล่อยเสรีจะทำให้การบริโภคของคนจะสูงกว่าระดับที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นรัฐต้องควบคุม เก็บภาษีให้สูง ต้องมีกฎหมาย ให้มีหลายมาตรการควบคู่กัน เพื่อให้มั่นใจว่าการบริโภคของประชาชนจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม และมีประสิทธิผล

ผศ.ดร.ชิดตะวัน กล่าวต่อว่า นอร์เวย์ ทั้งๆ ที่เขาเป็นประเทศเสรี แต่ก็ห้ามดื่มที่สาธารณะ ห้ามโฆษณาทุกแบบ เก็บภาษีสูงมาก มีการควบคุมการขาย โดยวันจันทร์-ศุกร์ ให้ขายถึง 2 ทุ่ม วันเสาร์ ปิดหกโมงเย็น ส่วนอาทิตย์งดจำหน่าย และวันหยุด โดยเฉพาะวันหยุดสำคัญทางศาสนาจะเข้มงวดมาก ซึ่งมาตรการเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ปี 1900 ขณะที่การควบคุมของไทยเริ่ม 2475 แล้วมาบอกว่าล้าหลัง จริงๆ ที่นอร์เวย์ก็มีคนอยากเปลี่ยนแปลง แต่น่าชื่นชมนักการเมืองส่วนใหญ่ของเขา และประชาชนบอกว่าไม่ได้ เพราะถ้าผ่อนคลายมากขึ้น จะทำให้นอร์เวย์ซึ่งมีจีดีพีต่อหัวสูง ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศที่พัฒนาทางเศษฐกิจดี ก็จะไม่เป็นแบบนี้อีก เพราะก่อนที่เขาจะควบคุม ประชาชนเป็นโรคจากการบริโภคสุราเยอะ พอควบคุมแล้วตอนนี้สังคมสงบ คนมีความสุข แล้วจะเปลี่ยนทำไม

“ในฐานที่เราเป็นนักเศรษฐศาสตร์ และไปเรียนต่างประเทศมา ก็มองว่าบางเรื่องถ้ามันดีอยู่แล้ว ต่อให้จะทำมานานแค่ไหน ก็ไม่ได้เป็นการล้าหลังอะไร ของดีก็ต้องรักษาไว้ ของไม่ดีก็ต้องเลิก อะไรที่ดีอยู่แล้วคงแปลกที่เราจะไปเลิกมัน” ผศ.ดร.ชิดตะวัน กล่าว

ด้าน ศ.เจเก้น รีม (Professor Jϋrgen Rehm) ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลกด้านแอลกอฮอล์ กล่าวว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อชีวิต สุขภาพของประชาชนและสังคม การควบคุมการขาย การโฆษณา ประกอบกับมาตรการทางภาษี จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมทางด้านสุขภาพมากขึ้น การอ้างเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจจากธุรกิจแอลกอฮอล์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะภาพที่แท้จริงมีความซับซ้อนมากกว่านั้น หากมีการผ่อนปรนการควบคุมมากเกินไปก็จะส่งผลเสีย และที่สำคัญคือการให้ซื้อแอลกอฮอล์ได้ตอนตีสี่ครึ่ง ไม่ใช่สิทธิมนุษยชน และไม่ใช่เสรีภาพ แต่สิทธิที่ควรมีการพูดถึง คือการปกป้องชีวิตของทุกคนจากปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน โดยมีกฎหมาย หรือมาตรการควบคุมการสื่อสารการตลาด การโฆษณา โดยเฉพาะทางโซเชียลมีเดียเข้าถึงกลุ่มเยาวชน