เมื่อวันที่ 14 ก.พ. เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการถวายความปลอดภัย โดยระบุเหตุผลของการเสนอญัตติดังกล่าว ว่า ตนและพรรคประชาธิปัตย์ มีจุดยืนชัดเจนในการให้ความสำคัญกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเรามีจุดยืนในการที่ต้องการธำรงไว้ ซึ่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการคุมครองประมุขของประเทศ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากนี้ การถวายความปลอดภัยนับตั้งแต่องค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระราชอาคันตุกะ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเมื่อเกิดเหตุการณ์คุกคามขบวนเสด็จ กรมสมเด็จพระเทพฯ อันเป็นที่เคารพสักการะยิ่งของคนไทยทั้งประเทศ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา พวกตนจึงจำเป็นต้องเสนอญัตติ และมิอาจเพิกเฉยต่อการระทำดังกล่าวได้

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์การคุกคามดังกล่าว ถือเป็นการกระทำอันไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง เกินกว่าที่คนไทยผู้จงรักภักดีทั้งประเทศจะยอมรับได้ และเป็นการย่ำยีพระผู้ทรงเป็นหัวใจของประชาชน ขณะเดียวกัน การที่ขบวนเสด็จไม่ปิดถนนนั้น สะท้อนชัดแจ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทย แม้สิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยคือหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่การใช้สิทธิเสรีภาพต้องไม่ล้วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ฐานันดรใด และต้องใช้สิทธิเสรีภาพที่มีอยู่นั้นภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ส่วนผู้ที่มีหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยนั้น นอกจากส่วนราชการในพระองค์แล้ว กลไกลสำคัญคือรัฐบาลที่มีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 ระบุไว้ชัดในมาตรา 6 ว่าให้หน่วยงานรัฐทุกแห่ง มีหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยหรือร่วมมือในการถวายความปลอดภัย ซึ่งตนไม่ประสงค์จะทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องการเมือง แต่นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และในฐานะผู้สั่งปฏิบัติราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ออกมาส่งสัญญาณ และแสดงท่าทีความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ล่าช้ามาก เพราะหลังเกิดเหตุการณ์ป่วนขบวนเสร็จแล้ว 7-8 วัน นายกฯ จึงส่งสัญญาณด้วยการเรียกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องมาหารือมาตรการรักษาความปลอดภัยขบวนเสด็จ

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนจึงขอเสนอ 4 ข้อ เพื่อให้สภาได้พิจารณา คือ 1.รัฐบาลต้องตระหนักในหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามกฎหมาย รวมทั้งให้เป็นไปด้วยความปลอดภัยสมพระเกียรติ ด้วยความสำนึกกระตือรือร้นจงรักภักดี และควรเร่งรัดดำเนินการมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาอีก 2.ให้รัฐบาลยึดหลักนิติธรรม บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่ว่ากับฝ่ายใด เพื่อทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และไม่ส่งเสริมการกระทำผิดอีกในอนาคต 3.ในฐานะที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากทั้งในสภา และในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม รัฐบาลต้องไม่สนับสนุนให้มีการนิรโทษกรรมความผิดในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะจะเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ในอนาคต และส่งเสริมให้มีการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพิ่มอีก โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุป่วนขบวนเสด็จ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าไม่ควรส่งเสริมให้มีการนิรโทษกรรมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112   

และ 4.รัฐบาลควรตั้งหลักพิจารณาร่วมกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาทุกอย่างอย่างรอบคอบรอบด้าน ว่าสมควรที่จะมีการปรับปรุง พ.ร.บ.ถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 หรือไม่ โดยเพิ่มเติมให้มีการกำหนดบทลงโทษเป็นการเฉพาะกับผู้ละเมิด พ.ร.บ.ฉบับนี้ รวมทั้งการพิจารณาว่าจำเป็นต้องทบทวนกฎระเบียบ มาตรการต่างๆ เพิ่มเติมอีกด้วยหรือไม่ ดังนั้นขอให้สภาได้มีมติให้ส่งความเห็น เพื่อให้รัฐบาลรับไปพิจารณาดำเนินการ และมีความประสงค์ให้ กมธ.วิสามัญฯ รับไปประกอบการพิจารณา