เมื่อวันที่ 14 ก.พ. เวลา 15.47 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2  ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบแผน และมาตรการการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัย มีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชนเป็นการถวายความปลอดภัยให้สมกับเกียรติยศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักชาติ ซึ่งเสนอโดยนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า  เรื่องที่เราพูดคุยกันในวันนี้เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายภาคส่วนในสังคม แม้อาจมีบางช่วงบางตอนที่ไม่ราบรื่นบ้าง แต่วันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีที่อย่างน้อยเราทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าปัญหาใดก็ตาม ไม่ว่าจะละเอียดอ่อนแค่ไหน ต้องถูกนำมาพูดคุยกันได้อย่างตรงไปตรงมาด้วยเหตุและผลในสภาแห่งนี้ หลายคนอาจมองว่าเวทีสภาเป็นประโยชน์และเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่สำหรับตน เวทีสภาไม่ได้เป็นประโยชน์แค่ในส่วนนั้น เพราะความจริงแล้ว ทุกพื้นที่ในประเทศนี้ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็นทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่เวทีสภาเป็นพื้นที่ไม่กี่แห่งที่นำคนที่เห็นต่างหรือชุดความคิดที่แตกต่างกันมาหันหน้าคุยกันและร่วมกันหาทางออกในเรื่องที่ยากๆ ของสังคม

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า เข้าใจดีว่าการที่เพื่อนสมาชิกฯ เสนอญัตตินี้เข้ามา สืบเนื่องจากเหตุการณ์เกี่ยวกับขบวนเสด็จเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ซึ่งได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง แต่ตนเชื่อว่าหัวข้อที่มันอยู่ลึกลงไปในใจของหลายคนในที่นี้ อาจจะเป็นหัวข้อหรือโจทย์ที่กว้างและใหญ่กว่า คือโจทย์การปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่โจทย์ที่ตนอยากชวนเพื่อนสมาชิกมาคิดต่อ คือคำถามที่ว่าสังคมเราควรมีปฏิกิริยาหรือรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างไรในการปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยตนของแบ่งเป็นโจทย์ที่แคบและโจทย์ที่กว้าง ซึ่งโจทย์ที่แคบคือคำถามที่ว่าเราควรทบทวนการออกแบบมาตรการเกี่ยวกับขบวนเสด็จหรือไม่อย่างไรที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดในการปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ขณะที่รัฐบาลจำเป็นต้องทำให้การรักษาความปลอดภัยของประมุข หรือพระบรมวงศานุวงศ์รัดกุม และไร้ข้อบกพร่อง แต่อีกมุมหนึ่ง หากรัฐบาลหรือสภาปรับมาตรการแบบฉับพลันหรือไม่สมส่วน ไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านอื่นๆ ในวงกว้างอย่างถี่ถ้วน ก็จะเกิดความเสี่ยง และอาจทำให้ประชาชนไม่พอใจ และอาจขยายวงกว้างไปกระทบกับสถาบัน ส่วนโจทย์ที่กว้าง คือเราจะปฏิบัติกับผู้เห็นต่าง และคลี่คลายความขัดแย้งอย่างไร ที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดในการปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกความเป็นจริง ที่เสรีภาพทางความคิดนั้น เป็นสิ่งที่จำกัดไม่ได้ หากประชาธิปไตยและสถาบัน จะเดินหน้าคู่กันได้อย่างมั่นคง สิ่งสำคัญสุดคือ ไม่ว่าเราจะเจอใครก็ตามใช้วิธีแสดงออกไม่เหมาะสมแค่ไหน เราต้องไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์ ไม่ใช้ความรุนแรง ต้องต่อสู้ด้วยเหตุผล และใช้สันติวิธีตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม