เมื่อวันที่ 11 มี.ค.67 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณากระทู้ถามเป็นหนังสือของ พล.ต.โอสถ ภาวิไล สว.ตั้งกระทู้ถามนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เรื่อง การป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เท่าทัน รวมถึงแผนการป้องกันและปราบปรามให้เป็นวาระแห่งชาติ

นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงการแก้ไขปัญหาและยอมรับว่าปัญหามีความรุนแรงยิ่งขึ้น และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับประชาชน ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการป้องกัน คือ 1.การบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการจับกุมป้องกันและปราบปรามอย่างต่อเนื่อง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ได้มีการประสานงานระงับบัญชีม้าและบัญชีอื่นที่เกี่ยวข้อง ประสานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินและยึดทรัพย์ ทั้งยังประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีสายด่วนแจ้งหลอกการลงทุน และประสานกับดีเอสไอ และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตรวจสอบซิมโทรศัพท์ถึงความผิดปกติในการใช้งาน เป็นต้น

รมว.ดีอีเอส กล่าวต่อว่า 2.มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ หรือ AOC 1441 และ 3.การออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.67 นี้ โดยจะเป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงและการหลอกลวงออนไลน์ กำหนดบทลงโทษผู้เปิดหรือยินยอมให้คนอื่นใช้บัญชีเงินฝากหรือบัญชีม้า โทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกรณีเป็นธุระจัดหาบัญชี จำคุก 2-5 ปี ปรับ 200,000 ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“ในเรื่องนี้ต้องประสานงานกับต่างประเทศ จึงมอบหมายปลัดกระทรวงดีอีเอส ไปประสานกับทางกัมพูชาเพื่อบูรณาการในการปราบปรามช่วงรอยตะเข็บชายแดน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัญญาณ หรือผู้ร้ายที่เดินทางข้ามไปมา” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ส่วนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงภัยการหลอกลวง โดยมีเว็บไซต์ของกระทรวงและศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ทั้งเฟซบุ๊ก Facebook แอปพลิเคชัน ไลน์ LINE  อินสตาแกรม Instagram ทวิตเตอร์ Twitter และยังมีสายด่วน  AOC 1441 ทั้งนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญ เนื่องจากความเสียหายวันละ 70-100 ล้านบาท โดยเฉพาะเรื่องของการหลอกให้ซื้อสินค้าหรือการซื้อสินค้าไม่ตรงปก และการหลอกให้ประชาชนลงทุน โดยกระทรวงดีอีเอสจะยกระดับการทำงานให้เข้มข้นรองรับการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน  หากการดำเนินการยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ รัฐบาลพร้อมจะยกระดับให้ปัญหาดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ

รมว.ดีอีเอส กล่าวว่า นอกจากนี้รัฐบาลมีแผนการแก้ไขปัญหา 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดย ระยะสั้น เคร่งครัดในการใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองส่วนบุคคล หรือ กฎหมาย PDPA จากนั้น ระยะกลาง มีแผนเกี่ยวกับการใช้ AI ในการเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยการจับผิดสิ่งปกติข่าวลวงหรือข่าวปลอม ส่วน ระยะยาว จะมีการแก้ไขกฎหมาย เช่น กฎหมายว่าด้วยความผิดคอมพิวเตอร์ และกฎหมายที่ป้องกันและปราบปรามความเสียหายที่เกิดจากไซเบอร์ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และที่สำคัญจะต้องสร้างการตระหนักรู้ให้กับประชาชน ผ่านโครงการ “วัคซีนไซเบอร์” เพื่ออบรมให้ความรู้กับประชาชน.