เมื่อวันที่ 30 ก.ย. เวลา 15.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังลานมันยั่งยืนพืชผล อ.คลองลาน จ.กําแพงเพชร เพื่อติดตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง และมอบถุงน้ำใจบรรเทาทุกข์ โดยมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไปช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน จ.กําแพงเพชร โดยมีนายเชาวลิตร แสงอุทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร นายสำราญ ศรีแปงวงศ์ อดีต ส.ส.จังหวัดกำแพงเพชร และคณะ เข้าร่วมงาน 

ทั้งนี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตั้งใจมาเยี่ยมพวกเราที่นี่ เพราะทราบว่าเศรษฐกิจหลักขึ้นอยู่กับข้าวและมันสำปะหลัง และตนรับผิดชอบดูแลนโยบายประกันรายได้เกษตรกร ซึ่งประกันรายได้พืชเกษตรสำคัญ 5 ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพด โดยเราเดินหน้านโยบายนี้กำลังขึ้นปีที่ 3 หลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ ช่วยเหลือเกษตรกรได้มาก สำหรับการประกันรายได้ข้าว ตนลงนามเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในวันไหน แต่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานนั้น ได้มีมติเห็นชอบแล้วว่าจะเดินหน้าการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เหมือนกับปี 2563 ทุกอย่าง แม้ปีนี้ราคาข้าวตก ทำให้มีส่วนต่างจำนวนมาก รัฐบาลต้องใช้เงินมาชดเชยช่วยเหลือจำนวนมากเช่นกัน

“ปีนี้ใช้งบประมาณเฉพาะค่าประกันรายได้ข้าว ปี 3 เตรียมไว้ 89,000 ล้านบาท แม้ใช้เงินจำนวนมากมาช่วยชาวนา แต่รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลพี่น้องชาวนา ส่วนเรื่องมันสำปะหลัง เตรียมงบประมาณไว้แล้วประมาณ 6,800 ล้านบาท และมีมาตรการคู่ขนานรวมแล้วประมาณ 7,000 ล้านบาทสำหรับมาช่วยชาวไร่มันสำปะหลัง”นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ปุ๋ยมีราคาแพงว่า เป็นเพราะ 1.ราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนขนส่งจากต่างประเทศทุกประเทศที่ขึ้นสูงมาก ทำให้ต้นทุนปุ๋ยทั้งโลกแพงขึ้น และน้ำมันเป็นวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่เอามาทำปุ๋ย ราคาต้นทุนปุ๋ยจึงแปรผันโดยตรงกับราคาน้ำมันโลก  2.ประเทศจีนที่เป็นผู้ผลิตปุ๋ยใหญ่ที่สุดในโลก เปิดให้มีการประมูลซื้อปุ๋ย และอินเดียที่เป็นผู้ใช้รายใหญ่ได้ประมูลปุ๋ยจากจีน ประมาณปีละ 10,000,000 ตัน ทำให้จีนทำสัญญาขายปุ๋ยระยะยาวให้กับอินเดียปุ๋ยในตลาดโลกหายไปส่วนหนึ่ง 3.จีนกำลังเข้าสู่ฤดูหว่านไถ จึงเก็บสต๊อกปุ๋ยไว้ใช้ในประเทศ รวมทั้งค่าขนส่งจากจีนมาไทยและไปหลายประเทศแพงขึ้นทั้งค่าระวางเรือ ค่าขนส่งทางบก ทำให้ต้นทุนปุ๋ยนำเข้าแพงขึ้นมาก ดังนั้น อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมหลายรอบกับผู้นำเข้าปุ๋ย 19 บริษัท ซึ่งสุดท้ายได้ข้อสรุปให้ตรึงราคาปุ๋ย พร้อมกับขอให้ทุกบริษัทจัดปุ๋ยราคาพิเศษมาขายให้กับเกษตรกรในราคาพิเศษผ่านสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร เกษตรแปลงใหญ่วิสาหกิจชุมชน ยื่นขอซื้อปุ๋ยราคาพิเศษถูกกว่าท้องตลาด กระสอบละ 20-50 บาท โดยให้ประสานงานผ่าน เกษตรจังหวัดหรือสหกรณ์จังหวัด โดยเตรียมไว้ 4,500,000 กระสอบ ซึ่งวันนี้ขายได้แล้ว 1,800,000 กระสอบ เหลืออีก 2,700,000 กระสอบ ขอให้รวมตัวกันมาซื้อ