สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ว่าความพยายามในการสร้างภูมิคุ้มกันทั่วโลกได้ช่วยชีวิตประชากรแล้วอย่างน้อย 154 ล้านคน ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา และกลุ่มที่ได้ประโยชน์สูงสุด ได้แก่ เด็กทารก
กล่าวคือ วัคซีนช่วยชีวิตคนได้ 6 ราย ในทุก ๆ 1 นาที ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ
ดับเบิลยูเอชโอเผยแพร่ผลการศึกษา ในวารสารทางการแพทย์แลนเซ็ต วิเคราะห์ผลลัพธ์ของวัคซีน 14 ชนิดที่ถูกนำมาใช้ในโครงการขยายงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (อีพีไอ) ซึ่งจะครบรอบ 50 ปี ในเดือนหน้า
นพ.เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า “ต้องขอบคุณวัคซีนที่ทำให้เด็กที่เกิดในวันนี้มีแนวโน้มว่าจะได้อยู่ฉลองวันเกิดปีที่ 5 มากกว่าเด็กที่เกิดเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ถึงร้อยละ 40”
“วัคซีนเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ และทำให้สามารถป้องกันโรคระบาดที่เคยเลวร้ายมากในอดีตได้” เขากล่าวเสริมอีกว่า “ไข้ทรพิษถูกกำจัด โปลิโอใกล้จะหายไป และวัคซีนที่ถูกพัฒนาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ช่วยจำกัดขอบเขตของโรค อาทิ มาลาเรียและมะเร็งปากมดลูก”
การศึกษาระบุว่า ตลอด 5 ศตวรรษที่ผ่านมา วัคซีนช่วยชีวิตเด็กทารกแล้วกว่า 101 ล้านชีวิต
“การสร้างภูมิคุ้มกันสำคัญเป็นการรักษาที่สำคัญที่สุด ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เด็กได้ฉลองวันเกิดครั้งแรก แต่ช่วยให้พวกเขามีสุขภาพดีไปจนถึงวัยผู้ใหญ่” นพ.เทดรอสกล่าว
วัคซีนป้องกันโรค 14 ชนิด ได้แก่ คอตีบ, ฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซา ชนิดบี, ไวรัสตับอักเสบบี, ไข้สมองอักเสบเจอี, หัด, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ชนิดเอ, ไอกรน, ไอพีดี, โปลิโอ, ไวรัสโรตา, หัดเยอรมัน, บาดทะยัก, วัณโรค และไข้เหลือง ลดอัตราการเสียชีวิตของทารกได้ถึงร้อยละ 40
ขณะที่ในแอฟริกา อัตราการเสียชีวิตของทารกลดลงกว่าร้อยละ 50
วัคซีนโรคติดต่อร้ายแรงในเด็กอย่าง “โรคหัด” มีบทบาทสำคัญที่สุด โดยช่วยชีวิตเด็กได้ถึงร้อยละ 60
ขณะที่วัคซีนโปลิโอ ช่วยให้ผู้คนกว่า 20 ล้านคนเดินได้และรอดจากการเป็นอัมพาต
นอกจากนั้น ยังช่วยให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแรงและมีอายุยืนยาวเฉลี่ย 66 ปี โดยตลอด 50 ปีที่ผ่านมา วัคซีนต่ออายุให้มนุษย์รวมแล้วกว่า 10,200 ล้านปี
“วัคซีนสร้างผู้ใหญ่” นพ.เทดรอสกล่าวเพิ่มเติม
รายงานโดยองค์การอนามัยโลกระบุว่า อัตราการมีชีวิตรอดในวัยเด็กที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสร้างภูมิคุ้มกัน มากไปกว่านั้น ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเข้าถึงเด็กอีกกว่า 67 ล้านคน ที่พลาดการฉีดวัคซีนอย่างน้อยครั้งหนึ่ง ระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดับเบิลยูเอชโอ พร้อมด้วยกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (กาวี) และมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ ร่วมเปิดตัวโครงการ “ฮิวเมนลี พอสสิเบิล” มีเป้าหมายเพื่อขยายโครงการฉีดวัคซีนทั่วโลก
นางไวโอเลน มิทเชลล์ จากมูลนิธิเกตส์ ระบุว่า “การทำงานร่วมกันทำให้เราช่วยคนได้อีกนับล้าน, พัฒนาความเท่าเทียม และสร้างโลกที่มีสุขภาพดีและเจริญยิ่งขึ้น”
Fifty years ago, @WHO launched the Expanded Programme on Immunization, bringing countries together to provide children everywhere with vaccines.
— Tedros Adhanom Ghebreyesus (@DrTedros) April 24, 2024
Since then, vaccination has saved an estimated 154 million lives.
This #WorldImmunizationWeek is a reminder of the lifesaving power… pic.twitter.com/qBxihvdTfO
อย่างไรก็ดี ความพยายามดังกล่าวต้องต่อสู้กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านการรับวัคซีน และทฤษฎีสมคบคิดที่ถูกเผยแพร่มากขึ้นในโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด ส่งผลให้ต้องเพิ่มความพยายามในการป้องกันโรคหัดอีกด้วย
“การใช้วัคซีนและการเข้าถึงวัคซีนทั่วโลกถดถอยอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้โรคหัดกลับมาระบาด” พญ.เคท โอไบรอัน รองหัวหน้าฝ่ายวัคซีนของดับเบิลยูเอชโอกล่าว
เมื่อปี 2565 เป็นปีล่าสุดที่มีรายงานผู้ป่วยโรคหัดมากกว่า 9 ล้านคน และมีเด็กเสียชีวิตอย่างน้อย 136,000 ราย
พญ.โอไบรอัน ระบุเพิ่มเติมว่า “การขาดการเข้าถึงวัคซีนเป็นปัญหาสำคัญ แต่ความถดถอยส่วนหนึ่งเกิดจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านวัคซีน”
“วัคซีนโรคหัดปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง” เธอยืนกรานถึงความจำเป็นในการต่อสู้กับ “หนึ่งในโรคระบาดที่แพร่เชื้อได้รุนแรงที่สุด”.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES