นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการปรับ ครม.ใหม่ รัฐบาลเศรษฐา 1/1 ว่า การปรับ ครม. ด้านเศรษฐกิจครั้งนี้ ถือว่าเหมาะสม โดยได้คนที่เข้าใจเอกชน และมีประสบการณ์ในการบริหารงานมาด้วย เชื่อว่า จะช่วยรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยเรื่องเร่งด่วนยังเป็นการเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติออกมาทุกกระทรวง 

โดยสิ่งที่หอการค้าฯ มองคือ ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงเงินทุน รวมถึงเร่งเจรจาความร่วมมือการค้าระหว่างประเทศ และดึงดูดการลงทุน สร้างความชัดเจนของอีอีซี เสริมกับการท่องเที่ยว ที่เป็นเครื่องจักรหลักในการดันเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ เป็นเรื่องที่น่าจะดำเนินการเร่งด่วน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า เมื่อพิจารณารายชื่อของกระทรวงเศรษฐกิจ มีรัฐมนตรีเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น โดยนายพิชัย ชุณหวชิร ที่เข้ามาเป็น รมว.คลังคนใหม่ เคยผ่านงานบริษัทขนาดใหญ่ และบอร์ดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แล้ว น่าจะมีความเข้าใจการทำงานของภาคเอกชน

รวมถึงการทำงานของรัฐวิสาหกิจด้วย ถือเป็นคนที่มีความสามารถ มีรัฐมนตรีช่วยที่เคยอยู่ในกระทรวงการคลังอยู่แล้ว ทำให้จะขับเคลื่อนดิจิทัลวอลเล็ต หรือทำงานประสานกับหน่วยงานสถาบันการเงินของรัฐ ขับเคลื่อนนโยบายโดยใช้งบประมาณแผ่นดินผ่านกระทรวงการคลังเป็นหลัก น่าจะทำให้การทำงานคล่องตัวขึ้นได้ ซึ่งเมื่อมีคนมากขึ้นก็ต้องทำงานได้ดีขึ้นเป็นลำดับ

“สิ่งสำคัญ คือ งบประมาณปี 67 น่าจะสามารถใช้ได้แล้ว ถือเป็นจุดสำคัญที่รัฐบาลมีรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและงบประมาณแผ่นดินมาแล้ว จะต้องเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวมากขึ้น เพราะผลสำรวจของ ม.หอการค้าไทย ชี้ให้เห็นถึงกำลังซื้อที่เปราะบางและการฟื้นตัวไม่โดดเด่น โดยนโยบายแรกที่ต้องทำ คือ ควรมีความชัดเจนเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และทำได้ทันที จะทำให้ความเชื่อมั่นเกิดขึ้นทั้งไทยและต่างประเทศ เนื่องจากจะมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านบาท เข้ามาในช่วงไตรมาส 4 ปี 67 สนับสนุนให้จีดีพีเติบโตเกิน 3% ได้ ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้พูดถึงความคุ้มค่า แต่พูดถึงการใช้ดิจิทัลวอลเล็ตเท่านั้น”

ทั้งนี้ เดือน พ.ค.-ต.ค.นี้ ควรเร่งให้หน่วยงานรัฐบาลทั้งหมด เร่งรัดการเบิกจ่าย ประมูลจัดซื้อจัดจ้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพราะงบลงทุนที่ผ่านมาตลอด 1 ปี ไม่ได้ใช้เดือนละประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ทำให้ 1 ปีของการไม่ได้เคลื่อนงบประมาณแผ่นดิน ระบบเศรษฐกิจมีเม็ดเงินหดหายไป 4-5 แสนล้านบาทโดยไม่จำเป็น หากสามารถเร่งประมูลจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้เกิดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ น่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ 2 แสนล้านบาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การจัดซื้อจัดจ้าง จะเป็นการกระจายเม็ดเงินไปทั่วประเทศด้วย

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ครม.เศรษฐา 1/1 ที่ออกมา เป็นการปรับให้มีความคล่องตัวขึ้น โดยเฉพาะระยะต่อไปที่รัฐบาลจะเข้าโหมดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะงบประมาณค้างท่อและล่าช้ากว่า 8 เดือน จะได้รับการอนุมัติ รวมถึงโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลเร่งเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายประชาชนช่วงปลายปี 67 หากดูการปรับ ครม. โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ถือว่ามีทีมงานที่แข็งแกร่งและพร้อมขับเคลื่อนนโยบาย จึงคิดว่าจากนี้ไปนายกรัฐมนตรี จะเน้นนโยบายเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก.