เมื่อวันที่ 1 พ.ค. เวลา 10.35 น. คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ชุมชนสมานฉันท์แรงงานข้ามชาติ และเครือข่ายแรงงาน รวมกว่า 500 คน ที่นำโดยนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธาน คสรท. ซึ่งเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ได้เดินทางมาที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ ถนนราชดำเนินนอก ตรงข้ามประตู 5 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อจัดกิจกรรมเนื่องในวันกรรมกรสากล 2024 ท่ามกลางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมสถานการณ์ทั่วบริเวณ และมีการตั้งแผงเหล็กปิดกั้นถนนราชดำเนินนอกที่แยกมิสกวัน ทั้งนี้ กลุ่มดังกล่าวต่างชูป้ายข้อเรียกร้องของแต่ละกลุ่ม รวมถึงได้ทำการแสดงล้อเลียนการเมือง เสียดสีแกนนำในรัฐบาลและพรรคการเมืองใหญ่ รวมถึงบรรดานายทุนสามานย์ที่ร่วมกันทำกติกาผูกขาด พร้อมกอบโกยผลประโยชน์และทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินไทยเอาไปสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง ขณะที่ประชาชนและแรงงานยังยากจนแร้นแค้น จึงจำเป็นที่เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานทุกกลุ่มต้องร่วมกันออกมาต่อสู้กับนักการเมืองและนายทุนสามานย์เหล่านี้ เพื่อให้ทรัพยากรของประเทศเป็นของประชาชนทุกคน

จากนั้น นายสาวิทย์ ได้อ่านแถลงการณ์ข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับการขอให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และการขอให้ควบคุมราคาสินค้า และเรื่องอื่นๆ รวม 13 ข้อ ได้แก่ 1.รัฐต้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 492 บาท เท่ากันทั้งประเทศ รวมถึงกำหนดให้มีโครงสร้างค่าจ้างและมีการปรับค่าจ้างทุกปี เพื่ออนาคตที่ดีของผู้ใช้แรงงาน อีกทั้งต้องปรับเงินเดือนและบัญชีโครงสร้างเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามข้อเสนอของ สรส. 2.รัฐต้องลดรายจ่ายของประชาชน ด้วยการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพของประชาชนในราคาที่เป็นธรรม รวมถึงลดราคาน้ำมัน ราคาก๊าซ ค่าไฟฟ้า ค่าขนส่ง ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต โดยต้องไม่ปล่อยให้กิจการเหล่านี้ตกไปอยู่ในการบริหารของกลุ่มทุนเอกชน 3.รัฐบาลต้องสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ (ฉบับประชาชน) พ.ศ. …. 4.รัฐต้องหยุดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในทุกรูปแบบ และให้มีการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพในการให้บริการที่ดี มีคุณภาพ 5.รัฐต้องปรับปรุงโครงสร้างทางภาษี โดยเก็บภาษีในอัตราที่ก้าวหน้าอย่างจริงจัง การจัดเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นในอัตราที่ไม่น้อยจนเกินไป ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณแผ่นดินในการพัฒนาประเทศ

6.รัฐต้องปฏิรูปโครงสร้างสำนักงานประกันสังคมให้เป็นอิสระ ตั้งโรงพยาบาลประกันสังคมให้กับผู้ประกันตน ตั้งสถาบันการเงินของผู้ใช้แรงงาน (ธนาคารแรงงาน) 7.รัฐต้องจัดสวัสดิการถ้วนหน้าที่มีคุณภาพให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงอย่างเท่าเทียม 8.รัฐบาลต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน, ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง เพื่อสร้างหลักประกันในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง, ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทำงาน ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524), ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดากำหนดให้ผู้หญิงมีสิทธิลาคลอดได้ 180 วัน และให้ผู้ชายลาไปดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 30 วัน โดยได้รับค่าจ้างตามที่จ่ายจริง 100 เปอร์เซ็นต์, ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับคนทำงานบ้าน, ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกของการทำงาน 9.ให้ลูกจ้างทำงานบ้านเข้าถึงสิทธิประกันสังคม มาตรา 33

10.รัฐบาลต้องยกเลิกนโยบายการจำกัดอัตรากำลังบุคลากรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และยกเลิกนโยบายลดสิทธิประโยชน์สวัสดิการของพนักงานและครอบครัว 11.รัฐต้องกำหนดให้ลูกจ้างภาครัฐในหน่วยงานราชการต่างๆ รับค่าจ้างจากงบประมาณแผ่นดิน และต้องบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างประจำ 12.รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีที่นายจ้างเลิกจ้างคนงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชย หรือจ่ายไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด 13.รัฐต้องจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการลงทุน โดยให้นายจ้างจ่ายเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิของคนงาน เมื่อมีการเลิกจ้างหรือปิดกิจการโดยนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย 14.รัฐต้องพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิและการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างจริงจัง 15.รัฐต้องยกเลิกการจ้างงานที่ไม่มั่นคง อาทิ การจ้างงานแบบชั่วคราว รายวัน รายชั่วโมง เหมาค่าแรง เหมางานเหมาบริการ และการจ้างงานบางช่วงเวลา ทั้งภาครัฐและเอกชน 16.รัฐบาลต้องสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สำหรับทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติต่อชาติใดชาติหนึ่ง

นายสาวิทย์ กล่าวอีกว่า อยากให้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยทำตามที่สัญญาให้ไว้กับประชาชนว่าจะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวันให้ได้ภายในปี 2570 ซึ่งตนเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เหนือกว่ากำลังของรัฐบาล
ต่อมา นายสาวิทย์ได้ยื่นหนังสือข้อเรียกร้องทั้งหมดถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ได้เป็นตัวแทนรับเรื่อง พร้อมกับกล่าวว่า แรงงานไม่ว่าจะเป็นชาติไหนมีส่วนสำคัญในการร่วมกันพัฒนาประเทศไทย ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานจะมีการประชุมกับสภาองค์กรลูกจ้าง และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในวันที่ 13 พ.ค.นี้ เพื่อพิจารณาการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็น 400 บาทให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ นอกจากนี้ขอให้แรงงานทุกคนมั่นใจว่าแรงงานทุกจังหวัดจะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทภายในเดือน ต.ค.นี้ ส่วนการปรับอัตราค่าจ้างในปี 2568 ก็จะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง
จากนั้น กลุ่มแรงงานเหล่านี้ได้ร้องเพลงเฉลิมฉลองวันกรรมกรสากลร่วมกัน ก่อนจะประกาศยุติการชุมนุม.

