เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่จังหวัดภูเก็ต นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วย ป.ป.ช.ภาค 8 และคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ หาดพาราไดซ์ ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ เพื่อตรวจสอบติดตามกรณีมีการเก็บค่าผ่านทางลงพื้นที่ชายหาด ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ว่าเรื่องนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานของสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจากการตรวจสอบ มีแปลงบนและแปลงล่าง รวมเนื้อที่ประมาณ 80 กว่าไร่ ซึ่งพื้นที่ชั้นบนได้ถูกประกาศว่าเป็นพื้นที่ ส.ป.ก.อย่างชัดเจน มีการปิดกั้นไม่ให้มีการใช้ทำประโยชน์ แต่ให้เป็นทางสาธารณะ เป็นพื้นที่ของส่วนราชการ หากมีการบุกรุกหรือครอบครองก็จะมีความผิด ขณะนี้ได้มีการแจ้งความร้องทุกข์และอยู่ระหว่างการตรวจสอบสิทธิ

ส่วนแปลงด้านล่าง ยังติดปัญหาด้านข้อกฎหมาย และยังไม่ได้มีการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเนื่องจากติดใบแจ้งครอบครองที่ดิน หรือ สค. 1 ซึ่งกรมที่ดินจะเป็นผู้มีหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องนี้ในฐานะเป็นผู้ออกเอกสารสิทธิ ส่วนใบสค. 1 จะเอามาแปลงเป็นโฉนดได้หรือไม่ ยังต้องไปพิสูจน์สิทธิที่มีมาแต่ดั้งเดิม ตนคาดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหา ขณะที่ ป.ป.ช.ก็จะดำเนินการอีกทางหนึ่ง เชื่อว่าผลการตรวจสอบน่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากเป็นสค. 1 จริงก็เป็นสิทธิของบุคคลที่ครอบครองอยู่ มีสิทธิที่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่นั้นได้ แต่หากไม่ใช่สค. 1 หรือไปเอาสค. ไหนมาก็ต้องดูว่าใครเป็นผู้ลงนามในเอกสารนั้น ใครเกี่ยวข้องถือว่ามีส่วนร่วมในการกระทำผิดครั้งนี้ จากนี้ตนจะติดตามที่กรมที่ดินเพื่อความรวดเร็วต่อไป

“ผมเห็นด้วยกับการที่เทศบาลเมืองป่าตองจะมาขอใช้พื้นที่หาดพาราไดซ์ หาก ส.ป.ก.อนุญาตให้เทศบาลเข้ามาดูแลแทนเอกชน ทั้งการจัดระเบียบการจราจร การลงชายหาด หากจัดระเบียบดีๆ ก็จะมีรายได้เข้าสู่เทศบาลโดยถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีการกีดกันที่จะนำรถเข้ามาประกอบกิจการในพื้นที่ดังกล่าวได้ ตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะมาแก้ไขปัญหาพื้นที่นี้ อย่างไรก็ตาม ผมได้ทำการสอบถามยัง ส.ป.ก.แล้วว่าสามารถขับขี่รถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาได้ แต่พื้นที่สำหรับจอดรถค่อนข้างน้อย และถนนมีความลาดชันจึงต้องระมัดระวังเรื่องอันตราย” นายนิวัติไชย กล่าว และว่า หากลงมาแล้วเกิดปัญหา ก็ไปคุยกับ ส.ป.ก.ได้ ยืนยันว่าการท่องเที่ยวไม่มีการปิดกั้น ทุกคน รวมถึงเจ้าของเดิมที่เคยนำรถมาบริการนักท่องเที่ยว ก็สามารถแข่งขันกันเอารถมาบริการได้

วันเดียวกันนี้ นายนิวัติไชย พร้อมคณะยังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้ากรณีเกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินหาดนุ้ยกับภาครัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินเปิดดังกล่าว ยืนยันว่าได้มีการถือครองถูกต้องตามกฎหมายจนกระทั่งมีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง ก่อสร้างถนนลงไปยังชายหาด อีกทั้งยังเรียกเก็บค่าบริการรถรับส่งและสาธารณูปโภค

โดยนายนิวัติไชย กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นเส้นทางเข้าเป็นที่ดินในพื้นที่ ส.ป.ก.และมีแนวรั้วกั้นกับที่ดินที่เจ้าของอ้างกรรมสิทธิ์จึงทำให้เกิดข้อพิพาทกับหน่วยงานรัฐ เพราะผู้ครอบครองอ้างว่ามีเอกสาร น.ส. 3 และที่ผ่านมา มีการฟ้องร้องดำเนินคดีโดยกรมป่าไม้เป็นผู้ฟ้องคดี จนกระทั่งศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าการออกเอกสารสิทธิ น.ส. 3 ก.มิชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ ต่อมาผู้ครอบครองได้ต่อสู้แอบอ้างเรื่องกรรมสิทธิ์ขึ้นฟ้องต่อศาลปกครองจังหวัดภูเก็ตเอาผิดกับกรมป่าไม้ที่ออกคำสั่งเพิกถอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ข้อยุติ

ส่วนในประเด็นที่ส่งผลกระทบกับนักท่องเที่ยวเรื่องเก็บค่าผ่านทางโดยอ้างว่าเป็นค่ารถโดยสารนั้น เลขาฯ ป.ป.ช. กล่าวว่า ผู้ครอบครองอ้างว่าได้เก็บเพียงคนละ 100 บาทเป็นค่ารถและค่าใช้บริการอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่ค่าเข้าหาด  ซึ่งผู้ประกอบการได้รับปากกับ ป.ป.ช.และหน่วยงานที่ลงพื้นที่ในวันนี้ว่าตั้งแต่วันนี้จะไม่ได้มีการบังคับให้ใช้บริการรถโดยสารของทางรีสอร์ท หากใครประสงค์ที่จะเดินหรือนำรถมาเองก็สามารถนำมาได้โดยไม่ต้องเสียค่าผ่านทางใดๆ

ส่วนประเด็นสำคัญคือการก่อสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.การก่อสร้างและการควบคุมอาคาร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลกะรนและได้รับคำยืนยันว่าผู้ประกอบการไม่ได้ขออนุญาตก่อนก่อสร้างแล้วและที่ผ่านมามีคำสั่งให้ทำการรื้อถอนแล้ว แต่ผู้ประกอบการได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง นอกจากนี้ผู้ประกอบการและบุคคลที่เกี่ยวข้องยังอยู่ระหว่างดำเนินคดีการบุกรุกและการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต

ส่วนกรณีที่ผู้ประกอบการแอบอ้าง จากการตรวจสอบบริเวณดังกล่าวพบว่ามีแนวชายฝั่งติดทะเล ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมเจ้าท่า โดยผู้ประกอบการอ้างว่าได้ทำบันทึกตกลงกับกรมเจ้าท่าไว้แล้ว ซึ่ง ป.ป.ช.จะต้องตรวจสอบกรณีนี้เช่นเดียวกัน เพราะหากบันทึกจริงก็ต้องเป็นบันทึกทางราชการและสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว 

ทั้งนี้ในระหว่างการลงพื้นที่มีตัวแทนผู้ประกอบการได้ถือเอกสารมาชี้แจงต่อเลขาฯ ป.ป.ช.และคณะ พร้อมชี้แจงข้อสงสัยกรณีการครอบครองและคำพิพากษาของศาล  โดยยืนยันว่ายังมีกรรมสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ดังกล่าว แม้ศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ  และได้มีการยื่นอุทธรณ์ต่อเทศบาลตำบลกะรนในคำสั่งให้รื้อถอนและยื่นร้องต่อศาลปกครองจังหวัดภูเก็ตให้เพิกถอนคำสั่งกรมป่าไม้โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่เทศบาลตำบลกะรนยืนยันว่าการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างไม่ได้มีการขออนุญาตจึงมีคำสั่งให้รื้อถอนอาคาร

ทั้งนี้ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานได้ลงพื้นที่มาตรวจสอบแล้วหลายครั้งและมีคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปแล้ว 20 กว่าหลัง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานการฝ่าฝืนการเข้ามาใช้อาคาร เพื่อจะแจ้งความดำเนินคดีต่อไป  โดยเทศบาลได้ยื่นฟ้องต่อสถานีตำรวจภูธรภูเก็ตไปแล้ว 5 คดี

ด้าน พ.ต.อ.คุณเดช ณ หนองคาย ผกก.สภ.กะรน ชี้แจงว่าคดีความทั้งหมด 5 คดี ดำเนินเสร็จสิ้นไปแล้ว 2 คดี เป็นคดีบุกรุกและแผ้วถาง  ศาลมีคำสั่งจำคุกและให้ออกจากพื้นที่แต่ผู้ต้องหายื่นอุทธรณ์ ส่วนคดีความที่ทางเทศบาลตำบลกะรนแจ้งความอีก 2 คดีเกี่ยวกับการก่อสร้างนั้น คณะกรรมการจังหวัดมีคำสั่งไปแล้วให้มีการเปรียบเทียบปรับ ส่วนคดีที่กรมป่าไม้แจ้งความดำเนินคดีนั้น ยืนยันว่าสอบปากคำได้คืบหน้ามากแล้ว หลังจากนี้ก็จะประเมินค่าเสียหายจากกรมป่าไม้ หลังจากนั้นจะเรียกผู้เกี่ยวข้อง ผู้ต้องหา เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม

เลขาธิการ ป.ป.ช. ย้ำว่าเรื่องดังกล่าวจะให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย โดยได้กำชับให้ตำรวจท้องที่และเทศบาลตำบลกะรน กรมป่าไม้ เร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีให้เร็วที่สุด