เมื่อวันที่ 13 พ.ค. จากกรณี ด.ต.สกล บรรลุ หรือ ดาบโก้ อายุ 43 ปี ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว.อำนาจเจริญ และนางจันสอน พลเยี่ยม อายุ 25 ปี ภรรยาชาวลาวที่กำลังตั้งครรภ์ 6 เดือน โดนมือปืนถล่มยิงจนพรุนคารถแล้วนำรถไปจอดทิ้งไว้ที่ไร่มันสำปะหลัง จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา ล่าสุดชุดสืบสวนภาค 2 และชุดสืบสวน สภ.ระเบาะไผ่ จ.ปราจีนบุรี ได้นำตัวพยาน 2 คนที่เห็นเหตุการณ์มาสอบสวนจนทราบว่า ผู้ก่อเหตุที่ใช้อาวุธปืนยิงดาบตำรวจสกลและภรรยาเสียชีวิตนั้นคือ นายชัยวิชิต ซึ่งหลังก่อเหตุได้หลบหนีไป จึงขยายผลไปทำการตรวจยึดได้อาวุธปืนยาวเอเค 47 พร้อมเครื่องกระสุน, อาวุธปืนพกสั้นขนาด .357 พร้อมเครื่องกระสุน, อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. พร้อมเครื่องกระสุน, ลูกระเบิดขว้างสังหาร 1 ลูก, อาวุธปืนยาวอัดลม 2 กระบอก ตรวจยึดได้บริเวณป่าหลังบ้านของนายชัยวิชิต

โดยบุคคลทั้งสองให้การว่า ในขณะที่ตนและนายชัยวิชิตกำลังซื้อน้ำมันอยู่บริเวณป่าริมถนน ได้มีดาบตำรวจสกลพร้อมภรรยา เข้ามาที่เกิดเหตุ นายชัยวิชิตและดาบตำรวจสกลได้มีปากเสียงกัน นายชัยวิชิตจึงใช้อาวุธปืนยิงดาบตำรวจสกลและภรรยาจนเสียชีวิตแล้วนำศพไปทิ้งพร้อมกับรถของดาบตำรวจสกลในป่าห่างจากจุดยิงประมาณ 3 กม.

แม่ร่ำไห้! มือปืนอำมหิตยิงดับ “ด.ต.-เมียท้อง” วอนล่าตัวมาลงโทษให้สาสม

ต่อมาพ่อแม่ของภรรยาดาบตำรวจสกลซึ่งเป็นชาวลาว พร้อมญาติได้เดินทางมาถึงที่ สภ.ระเบาะไผ่ เพื่อรอพบกับพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า ปกติลูกสาวจะไปไหนมาไหนกับแฟนเขาตลอด เมื่อรู้ว่าลูกเสียชีวิต ตนก็ทำใจเพราะรู้ว่าลูกเขยเป็นตำรวจ แต่ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรบ้าง อยากฝากบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตามจับตัวคนร้ายมาให้ได้และอยากถามคนร้ายว่า ทำไมถึงทำอย่างนั้น เพราะลูกสาวแม่ก็ท้องมาได้ 6 เดือนกว่าแล้ว อยากรู้เหมือนกันว่าทำได้อย่างไร

พ.ต.อ.สุรพร เทพเสน ผกก.สภ.ระเบาะไผ่ กล่าวว่า คดีนี้สืบเนื่องจากมีตำรวจที่เคยอยู่ที่ สภ.ระเบาะไผ่ และย้ายกลับไปที่จังหวัดอำนาจเจริญ ในวันเกิดเหตุเขาแยกจากเพื่อนที่กรอกสมบูรณ์เพื่อไปทานอาหาร ระหว่างขับรถมาระหว่างทางคงเจอลักษณะเหมือนรถมีการหยุดถ่ายน้ำมันกัน ตรงนี้ก็ขอชื่นชมเขาด้วยที่ลงไปตรวจสอบ ระหว่างที่ลงไปตรวจสอบเขาก็ให้ภรรยาโทรไลน์หาตำรวจที่เขาสนิทแจ้งว่ามีเหตุลักษณะนี้อยู่ พร้อมส่งโลเคชั่นให้ หลังจากได้รับแจ้งจากภรรยาไม่เกิน 10 นาที เพื่อนก็เดินทางไปตามโลเคชั่น แต่โลเคชั่นที่ส่งไปในพื้นที่ค่อนข้างจะไม่ตรง ก็เลยหาจุดไม่เจอ หลังจากนั้นก็รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก็น่าจะมีเหตุ ปกติตัวเขาจะไม่ปิดโทรศัพท์ จะติดต่อได้ตลอด

เบื้องต้นผู้กระทำความผิดไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ด.ต.ที่เสียชีวิต ส่วนที่มีบางสื่อเสนอข่าวว่า ด.ต.ผู้เสียชีวิตไปเปิดคอกน้ำมันนั้น ไม่ใช่ เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาย้ายไปแล้ว 2-3 ปี อีกส่วนหนึ่งก็ต้องชื่นชมเขาถึงแม้ไม่ใช่ตำรวจในพื้นที่ เขาผ่านไปเจอ เขาก็ยังมีจิตวิญญาณของความเป็นตำรวจเข้าไปตรวจสอบก็แจ้งให้เพื่อนตำรวจที่เขาสนิทให้ได้รับทราบ ก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงขนาดนี้ ที่ว่ามีการประกอบธุรกิจน้ำมันเถื่อนนั้น ขอยืนยันว่าไม่มี