เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร พระวิเวก นามรุ่งโรจน์ ต้นอ้อ มูลนิธิเป็นหนึ่ง อี้ แทนคุณ และตัวแทนผู้เสียหาย เข้าพบ พ.ต.ท.มนสิช ชุนดี รอง ผกก.(สอบสวน) กก.2 บก.บก.ปอท. เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้เกี่ยวข้องในขบวนการลัทธิเชื่อมจิต ฐานนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามพ.ร.บ.คอมพ์ รวมทั้ง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร และฉ้อโกง

โดย ทนายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า ช่วงเดือน ก.ค. 2564 พ่อแม่ของเด็กคนดังกล่าว พร้อมแอดมินเพจเฟซบุ๊ก และบุคคลอื่นผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งใช้ชื่อของ ด.ช. 8 ขวบ ได้มีการนำเสนอบทความพร้อมคลิปวิดีโอบิดเบือน หรือเป็นเท็จนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หลายครั้งหลายหน ประมาณ 23 ครั้ง โดยอวดอ้างว่า ด.ช. 8 ขวบ ที่เป็นลูกชายลงไปในนรกเห็นสัตว์นรก มียมทูตเป็นเพื่อนมารับคนที่ตาย อ้างว่าลูกชายมารับคนไปสู่ยุคพระศรีอาริย์ ทำหน้าที่ลงมารับผู้มีบุญไปสู่ยุคพระศรีอาริย์ อวดอ้างเห็นวาระกรรมจากรูปภาพมองเห็นแบบภาพยนตร์มองย้อนกลับไปในอดีตได้หลายภพชาติ จะนิพพานได้ต้องนั่งสมาธิ

นอกจากนี้ยังอวดอ้างลูกชายว่าเป็น “ลูกพระพุทธเจ้า” เป็น “ลูกบุญธรรมเจ้าแม่กวนอิม” เป็น “พระอนาคามี” เป็น “พญานาค” ชื่อเพชรภัทรนาคานาคราช แบ่งภาคลงมาเกิดเป็นลูกชายเพื่อสอนธรรม และสามารถรู้ธรรมะและสอนธรรมะด้วยตนเองไม่มีใครมาสอน เปรียบตนเองเสมอด้วยพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า มีการเล่าประวัติว่า ลูกชายมีชาติกำเนิดเป็นเทพบุตรแบ่งภาคลงมาเกิดชื่อ “เพชรภัทรนาคานาคราช” มีพญานาคที่ช่วยดูแลชื่อ องค์แสนสิริจันทรานาคราช มีการเขียนบทความ และสรุปเป็นสารคดีโดยย่อ เพื่อยกให้เป็นเด็กวิเศษเหนือจากคนอื่น ๆ ทั้งยังกล่าวอ้างว่า พ่อเป็นท้าวจตุโลกบาล ส่วนแม่อยู่ชั้นนิมานรดี และชั้นดุสิต แอบอ้างว่า ความรู้ของลูกชายติดตัวมาจากองค์พระศากยมุนี เมื่อมีการสอนธรรมะก็สอนโดยวิธีเชื่อมจิตซึ่งมี 2 วิธี

ทนายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า การเชื่อมจิต เวอร์ชั่นแรก คือ การเชื่อมต่อยอด ขจัด เคลียร์ ให้หลุดออกจากมาร และอธิบายวิธีการเชื่อมจิตว่า จะใช้แสงจากข้างบนลงมา เป็นแสงสีทอง จากนั้นจะเอามือไปแตะที่หน้าผาก โดยอาศัยตาที่สามปล่อยพลังไปทั่วร่างกาย เป็นการเชื่อมระหว่างจิตของเทพกับจิตของมนุษย์ โดยได้รับพลังแสงสีทองมาจากองค์พระศากยมุนี เพื่อไปต่อยอดในการปฏิบัติธรรม

ส่วนการเชื่อมจิต เวอร์ชั่นที่สอง คือ การสอนในสมาธิ หรือการพูดคุยติดต่อกันในสมาธิ โดยที่มี 2 แอดมิน และทนายความคนหนึ่ง บอกว่าการเชื่อมจิต มีบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎก แต่ความจริงแล้ว การเชื่อมจิตไม่มีบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกอย่างแน่นอน ซึ่งทั้ง 2 เวอร์ชั่น เป็นการสอนที่ผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเป็นการบิดเบือน ทำลายและกลืนพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นการก่อให้เกิดสัทธรรมปฏิรูป คือ ธรรมปลอมที่เป็นภัยร้ายแรงอันดับแรกของการทำลายพระพุทธศาสนาเถรวาท การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ทนายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า สำหรับ การเชื่อมจิตดังกล่าว เป็นการหลอกลวงและมีการเรี่ยไรรับบริจาคเงินเพื่อสร้างสถานปฏิบัติธรรมสายธรรมแห่งองค์พุทธะ ต.คลองฉนาก อ.เมืองสุราษฎร์ธานี โดยซื้อที่ดินของ พ่อแม่ ด.ช.8ขวบ เป็นเงินประมาณ 15 ล้านบาท โดยมิได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไร จึงอาจเป็น ความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร ส่วนการเปิดเพจเฟซบุ๊กและติ๊กต็อกเพื่อโฆษณาอวดอ้างให้ ด.ช. 8 ขวบ เป็นเด็กวิเศษ อันมีประโยชน์แอบแฝงเพื่อได้รับผลประโยชน์เป็นเงินอันเข้าข่ายการกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กด้วย ทั้งนี้ฝากเตือนพ่อแม่ ด.ช. 8 ขวบ ให้เลิกซะ เอาลูกไปเรียนหนังสือ เรียนให้จบ อย่าอุปโลกน์อะไรขึ้นมาเอง

ด้าน อี้ แทนคุณ กล่าวว่า มีลูกศิษย์ลัทธิเชื่อมจิต ติดต่อเข้ามาเปิดเผยว่า การไปอบรมแต่ละครั้งเสียเงินเยอะมาก ตอนแรกเหมือนกับจะได้ผลเหมือนมีแสงอะไรบางอย่างขึ้นมา เหมือนจะบรรลุแล้ว แต่ไม่รู้เป็นอุปทานหมู่หรือไม่ แต่พออยู่ไปอยู่มาได้เห็นสภาพของ ด.ช.8 ขวบ เปลี่ยนไป คือแค่เอานิ้วแตะหัว แตะหน้าผาก มันจะเชื่อมจิตได้อย่างไร ทำเหมือนเป็นการ์ตูน จนสุดท้ายผู้เสียหายรู้ตัวเองหลงผิด จึงมาให้ข้อมูลเพื่อแจ้งความ และจะไปชวนเหยื่อรายอื่นมาแจ้งความอีกด้วย.